cheewin.j

cheewin.j

บทความของผู้เขียน

Articles

Author Category Post Filter
ChatGPT ใช้ยังไงให้ตอบโจทย์การทำงานของคนทำงานทุก Gen มากที่สุด
เชื่อว่าวันนี้ ChatGPT ได้กลายเป็นเครื่องมือทำงานที่คนทำงานจำนวนมากเลือกใช้ เนื่องจากความสามารถที่หลากหลาย ทั้งในด้านการตอบคำถาม และสร้างผลลัพธ์ต่าง ๆ ได้ตรงกับความต้องการด้วยคุณภาพในระดับเดียวกับที่มนุษย์ทำได้ จึงทำให้ ChatGPT ได้รับความนิยมอย่างสูง จนถูกนำไปใช้เป็นตัวเลือกที่คนทำงานทุกระดับในทุกสายงานใช้งานอย่างไม่จำกัด เพื่อเป็นผู้ช่วยให้เราทำงานออกมาได้ประสิทธิภาพและมีคุณภาพไปพร้อมกัน การใช้ ChatGPT มีประโยชน์อะไรบ้าง อย่างที่เห็นว่าผู้ใช้งานสามารถนำ ChatGPT ไปใช้ได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นผู้ช่วยส่วนตัวในชีวิตประจำวัน และเป็นเครื่องมือช่วยเหลือในการทำงาน ซึ่งหากมองในมุมของการทำงาน การใช้ ChatGPT จะช่วยให้ธุรกิจได้ประโยชน์หลายอย่าง อย่างการลดต้นทุน เพราะ ChatGPT สามารถทำงานซ้ำแทนมนุษย์ได้ ช่วยให้องค์กรจัดสรรบุคลากรไปทำงานด้านอื่นที่มีความซับซ้อนมากกว่า ChatGPT ยังสามารถทำงานได้ตลอดเวลา ช่วยให้ธุรกิจมีเครื่องมือเข้ามาช่วยสนับสนุนการทำงานนอกชั่วโมงการทำงานปกติ โดยเฉพาะงานด้านการบริการลูกค้าซึ่งเป็นส่วนงานที่จะต้อง ดำเนินการตลอดเวลา ซึ่ง ChatGPT สามารถรองรับข้อความจำนวนมาก และสร้างข้อมูลเพื่อตอบกลับลูกค้าได้ทันที ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการลูกค้า และสุดท้ายคือการเป็นเครื่องมือที่ช่วยรวบรวมข้อมูลที่ลูกค้าติดต่อเข้ามา เพื่อให้องค์กรนำข้อมูลดังกล่าวมาสรุปเป็น Insights แล้วนำไปใช้ในการดำเนินงานด้านอื่น ๆ ต่อได้ นี่ก็คือประโยชน์ส่วนหนึ่งของการนำ ChatGPT มาใช้ในการทำธุรกิจโดยรวม โดยจากดูสถิติการใช้งานที่รวบรวมโดย Intelliarts บริษัทที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยี ระบุว่า ChatGPT ถูกนำไปใช้งานในหลายด้าน โดยมีงานที่ได้รับความนิยมมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ นอกจากนี้ หากมองลึกลงไปในรายละเอียดจะเห็นว่าในองค์กรมีพนักงานหลาย Generation ตั้งแต่ Baby Boomer ไปจนถึง Gen Z ซึ่งแต่ละช่วงอายุมีลักษณะการใช้งาน ChatGPT ที่ใกล้เคียงกันและแตกต่างกันตามตำแหน่งและลักษณะงานของตนเอง ลองไปดูกันว่าพนักงานแต่ละ Generation มีการใช้ ChatGPT ในการทำงานอย่างไร เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและตอบโจทย์การทำงานในแต่ละวัน จากผลสำรวจของ Pew Research Center ในปี 2024 Baby Boomer พนักงาน Baby Boomer คือกลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี 1946 ถึง 1964 ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่มีความถนัดในการใช้เทคโนโลยีเทียบเท่ากับคนรุ่นอื่น แต่สามารถเรียนรู้การใช้งานในเบื้องต้นได้ ทำให้ Baby Boomer เป็นกลุ่มคนที่ใช้ ChatGPT น้อยที่สุดด้วยสัดส่วน 6% โดยมีลักษณะการใช้งานหลักในการร่างเอกสารทางธุรกิจและค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ Generation X  พนักงาน Gen X คือกลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี 1965 ถึง 1980 แม้จะไม่ได้เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยี แต่ถ้าเรียนรู้การใช้งานก็สามารถใช้เทคโนโลยีในการทำงาน ซึ่งมีสัดส่วนการใช้งาน ChatGPT อยู่ที่ 17% โดยมีลักษณะการใช้งานหลักในการจัดตารางการทำงานให้กับคนในทีมและเขียนอีเมลติดต่อกับลูกค้า Generation Y พนักงาน Gen Y หรือที่เรียกอีกชื่อว่า Millennials คือกลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี 1981 ถึง 1996 เป็นเจนเนอเรชั่นที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีมาหลายอย่าง ทำให้สามารถปรับตัวได้เร็ว และมีสัดส่วนการใช้งาน ChatGPT อยู่ที่ 27% โดยมีลักษณะการใช้งานหลักในการจัดลำดับความสำคัญของงานและหาข้อมูลเพื่อเรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ Generation Z พนักงาน Gen Z คือกลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี 1997 ถึง 2012 ซึ่งเติบโตมาพร้อมกับการพัฒนาเทคโนโลยี ทำให้มีความคุ้นเคยและสามารถเรียนรู้วิธีการใช้งานได้เร็ว ทำให้เป็นกลุ่มที่สัดส่วนการใช้ ChatGPT มากที่สุดอยู่ที่ 43% โดยมีลักษณะการใช้งาน ChatGPT เพื่อคิดคอนเทนต์ลง Social Media และสรุปข้อมูลที่ตัวเองต้องการ ขั้นตอนการใช้งาน ChatGPT ChatGPT เป็นเครื่องมือที่ผู้ใช้งานสามารถเข้าไปได้ฟรี โดยมีขั้นตอนการใช้งาน 3 ข้อดังนี้ เริ่มแรกเราจะต้องเข้าไปที่เว็บไซต์ chatgpt.com เพื่อสร้างบัญชีผู้ใช้ ซึ่งผู้ใช้ฟรีจะสามารถดูประวัติการใช้งาน เขียน Prompt เพื่อสร้างรูปภาพ และอัปโหลดไฟล์ฟอร์แมตต่าง ๆ เพื่อให้ ChatGPT นำไปสร้างผลลัพธ์ให้ หลังจากที่เราสร้างบัญชีและล็อกอินเข้ามาแล้ว ก็จะพบกับหน้าต่างสนทนาที่จะประกอบไปด้วยแถบเครื่องมือและตัวเลือก ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ ถัดจากเครื่องมือก็มาถึงการใช้งานที่ผู้ใช้จะต้องป้อนคำสั่ง (Prompt) ให้ ChatGPT นำไปประมวลผล และสร้างผลลัพธ์ตอบกลับมา ซึ่งเราสามารถเขียน Prompt ได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับความต้องการ  โดยมีตัวอย่าง Prompt แนะนำที่สามารถนำไปใช้เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการทำงานสำหรับธุรกิจและองค์กรต่าง ๆ 4 ด้านด้วยกันดังนี้   Prompt สำหรับงานด้านการบริหาร Prompt สำหรับงานด้านการวางแผนเชิงกลยุทธ์ Prompt สำหรับงานด้านการบริการลูกค้า Prompt สำหรับงานด้านการตลาด นี่คือแนวทางการใช้งาน ChatGPT เบื้องต้นที่สามารถนำไปปรับใช้ในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะเห็นได้ว่า ChatGPT เป็น AI ที่มีความสามารถหลากหลาย ตอบโจทย์การใช้งานของทุกช่วงวัย ไม่ว่าคุณจะอยู่ในวัยใดหากเรียนรู้วิธีใช้ให้ถูกต้อง ChatGPT จะกลายเป็นเครื่องมือทรงพลังที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้อย่างรวดเร็วและเกิดประโยชน์สูงสุด แหล่งอ้างอิง
16 May 2025
Data Analytics คืออะไร ? และมีอะไรบ้าง ? ทำไมทุกองค์กรถึงให้ความสำคัญ
“Data is the new oil” เป็นประโยคที่ ไคลฟ์ ฮัมบี (Clive Humby) นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษพูดไว้เมื่อปี 2006 เปรียบเปรยว่าข้อมูลเป็นเหมือนทรัพยากรที่มีค่าไม่ต่างจากน้ำมัน ถือเป็นคำกล่าวที่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของข้อมูลในยุคนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะปัจจุบันข้อมูลได้กลายมาเป็นเครื่องมือสำคัญในการแข่งขันของโลกธุรกิจยุคใหม่ แต่การมีข้อมูลจำนวนมากแล้วไม่สามารถนำมาใช้งานได้ ก็เหมือนมีแค่น้ำมันดิบ หากไม่ได้ผ่านกระบวนการกลั่นก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นการวิเคราะห์ข้อมูล หรือ Data Analytics จึงเปรียบเสมือนกระบวนการกลั่นที่เปลี่ยนข้อมูลดิบให้เป็นพลังงานขับเคลื่อนธุรกิจ เป็นขั้นตอนสำคัญที่ทำให้เราสามารถนำข้อมูลมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แล้ว Data Analytics คืออะไร ? Data Analytics คือ กระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น AI (Artificial Intelligence), Machine Learning และเครื่องมือ Data Analytics มาใช้วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาข้อสรุปของข้อมูลนั้น ๆ ถือเป็นการนำข้อมูลที่ได้มา เข้าสู่กระบวนการแสดงค่า หาความหมาย และสรุปผลที่ได้จากข้อมูลนั้น ๆ  ช่วยให้มองเห็นแนวโน้ม โอกาส และความเสี่ยงต่าง ๆ ทำให้สามารถตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลจริงแทนการใช้สัญชาตญาณ หรือประสบการณ์เพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการคาดการณ์อนาคต หาแนวโน้มความน่าจะเป็น แนวโน้มคำตอบ หรือจุดที่ต้องแก้ไข ที่จะสามารถช่วยเสริมศักยภาพทางธุรกิจได้  รูปแบบการทำ Data Analytics  การทำ Data Analytics สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทหลัก ๆ ตามลักษณะและวัตถุประสงค์ ดังนี้ ตัวอย่างเครื่องมือในการทำ Data Analytics (Data Analytics Tools) ความสำคัญของ Data Analytics ในธุรกิจ Data Analytics ยังเป็นส่วนสำคัญของการขับเคลื่อน Digital Transformation ในองค์กร เนื่องจากข้อมูลเชิงลึกที่ได้ จะช่วยให้ธุรกิจค้นพบไอเดียหรือโอกาสใหม่ ๆ ในการเพิ่มรายได้ ลดต้นทุน หรือสร้างนวัตกรรม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้องค์กรสามารถปรับตัวและเติบโตได้อย่างรวดเร็วในโลกดิจิทัลที่มีการแข่งขันสูง หลายองค์กรตระหนักถึงความสำคัญของการใช้ Data Analytics เพื่อปรับปรุงกระบวนการทำงาน ลองมาดูตัวอย่างของการนำ Data Analytics ไปใช้งานในธุรกิจด้านต่าง ๆ กัน องค์กรสามารถใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้า ทำให้สามารถสร้างแคมเปญการตลาดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการทำ Personalization ที่สามารถนำเสนอสินค้าหรือบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด ตัวอย่างเช่น Netflix แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งคอนเทนต์ระดับโลก ได้มีการนำ Data Analytics มาใช้ประโยชน์ในการรวบรวมพฤติกรรมการใช้งานของสมาชิก ด้วยเทคโนโลยี AI ทั้งอุปกรณ์ที่ใช้ในการรับชม ประวัติการดู คำค้นหา หรือผู้คนชอบดูภาพยนตร์และคอนเทนต์แนวไหนมากที่สุด จากนั้นนำมาวิเคราะห์พฤติกรรมของสมาชิกแต่ละคน เพื่อนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้ในการแนะนำภาพยนตร์ หรือคอนเทนต์ ที่สมาขิกสนใจจะดูได้ตรงตามความต้องการ การวิเคราะห์ข้อมูลสามารถช่วยให้บริษัทคาดการณ์ความต้องการของสินค้าและบริหารจัดการสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ลดปัญหาสินค้ามากเกินหรือน้อยเกินไป และช่วยลดต้นทุนทางธุรกิจ ตัวอย่างเช่น Amazon แพลตฟอร์มขายสินค้าออนไลน์ชื่อดัง ที่โดดเด่นในการใช้ Data Analytics โดยมีการใช้ Machine Learning และ Artificial Intelligence เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลการสั่งซื้อและคาดการณ์แนวโน้ม ทำให้การจัดการสินค้าคงคลังมีความรวดเร็วและแม่นยำ การใช้ Data Analytics มาช่วยในการประเมินและจัดการความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ จะช่วยให้ธุรกิจสามารถตรวจจับความผิดปกติและป้องกันการฉ้อโกงได้อย่างรวดเร็วจากสัญญาณความผิดปกติจากข้อมูล  ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที ตัวอย่างเช่น บริษัทประกันภัยชั้นนำอย่าง AON ใช้ Data Analytics ในการบริหารจัดการและควบคุมความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการประกัน ซึ่งข้อมูลที่รวบรวมมาจากพฤติกรรมลูกค้าช่วยให้พวกเขาสามารถวางแผนและจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้ Data Analytics ในการวิเคราะห์ข้อมูลพนักงานสามารถช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจในเรื่องการจ้างงาน การเลื่อนตำแหน่ง การฝึกอบรม และการระบุปัญหาที่เกิดขึ้นในองค์กรก่อนที่จะกลายเป็นปัญหาใหญ่  ตัวอย่างเช่น บริษัท Google มีการใช้ HR Analytics เพื่อทำความเข้าใจและปรับปรุงกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับพนักงานทั้งหมด ตั้งแต่การจ้างงานจนถึงการเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ทำงานด้วยการสำรวจและการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อรวบรวมความคิดเห็นและข้อมูลจากพนักงาน ในการปรับปรุงกระบวนการต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับวัฒนธรรมองค์กรและสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น การนำ Data Analytics มาใช้ในการวิเคราะห์กระบวนการทำงานหรือขั้นตอนการผลิต จะช่วยให้สามารถค้นพบจุดที่เป็นคอขวด และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานได้อย่างเป็นรูปธรรม ตัวอย่างเช่น Grab แพลตฟอร์มที่อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้งานผ่านทางแอปพลิเคชันบนมือถือ ทั้งบริการเรียกรถรับส่ง บริการส่งพัสดุ และบริการรับส่งอาหาร มีการใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลการสั่งอาหารของลูกค้า โดยแนะนำร้านอาหารที่ชอบ ร้านอาหารที่มีโปรโมชั่นน่าสนใจ หรือร้านอาหารใกล้บ้าน และประมวลผลสำหรับผู้ให้บริการ Grab เพื่อให้บริการได้สะดวกมากยิ่งขึ้น การวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าจากหลายช่องทาง ทั้งข้อมูลการซื้อ พฤติกรรมการใช้งาน Social Media ทำให้เข้าใจความต้องการ ความชอบและ Pain Points ของลูกค้าได้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้สามารถพัฒนาสินค้าและบริการให้ตรงใจลูกค้ามากขึ้นด้วย ตัวอย่างเช่น McDonald’s แบรนด์อาหารฟาสต์ฟู้ดที่มีจำนวนสาขาทั่วทุกมุมโลก ก็มีการทำ Data Analytics ในการเก็บข้อมูล เช่น รายการสั่งซื้อ เมนูที่ลูกค้าชอบ และการคอมเมนต์ตามแพลตฟอร์ม Social Media ต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลกลุ่มเป้าหมาย เช่น ที่ตั้งของร้านมีผลต่อการเข้าใช้บริการของลูกค้าหรือไม่ ชุดเซตเมนูอย่าง Happy Meal เหมาะกับลูกค้าประเภทไหนบ้าง หรือเทรนด์การตลาดที่กำลังเป็นกระแส เพื่อทำการตลาดและนำเสนอเมนูที่ลูกค้าชอบ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด จากตัวอย่างที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่า Data Analytics มีบทบาทสำคัญต่อความสำเร็จของธุรกิจในยุคดิจิทัล องค์กรที่นำเทคโนโลยีมาวิเคราะห์ข้อมูล จะสามารถใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อแก้ปัญหา วางแผนกลยุทธ์ และตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ ธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับ Data Analytics จะได้เปรียบในการแข่งขัน เพราะสามารถเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค คาดการณ์แนวโน้ม และปรับตัวได้รวดเร็ว นอกจากนี้ การเก็บข้อมูลสถิติในกระบวนการทำงานยังช่วยให้ค้นพบวิธีการแก้ปัญหาใหม่ ๆ และเพิ่มประสิทธิภาพในทุกด้าน นี่คือเหตุผลว่าทำไม Data Analytics จึงเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จขององค์กรชั้นนำในยุคนี้ แหล่งอ้างอิง
19 March 2025
ตัวอย่างในการนำ NLP มาใช้เพื่อธุรกิจด้านต่าง ๆ
ในยุคดิจิทัลนี้ธุรกิจต่างก็มีการปรับตัวนำ AI เข้ามาใช้ในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการป้อนคำสั่งให้ AI วิเคราะห์ ตีความ และประมวลผลเพื่อสร้างข้อมูลใหม่ขึ้นมา ซึ่งความสามารถของ AI ก็เป็นผลมาจากการถูกฝึกฝน โดยการใช้เทคโนโลยีประมวลผลภาษาธรรมชาติ หรือ NLP เพื่อให้โมเดลภาษาเรียนรู้ภาษาของมนุษย์ และนำไปสร้างผลลัพธ์ให้เหมือนมนุษย์มากที่สุด การรู้จัก NLP จึงเป็นรากฐานให้เราสามารถนำเทคโนโลยีไปประยุกต์ใช้ในธุรกิจได้ NLP หรือ Natural Language Processing คือศาสตร์แขนงหนึ่งของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่มุ่งเน้นให้คอมพิวเตอร์เข้าใจ ประมวลผล และตีความภาษาของมนุษย์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ถูกพัฒนาขึ้นมาให้คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจภาษาที่มนุษย์ใช้ในชีวิตประจำวัน และวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ออกมาได้เหมือนกับภาษาที่มนุษย์ใช้  แล้ว NLP ทำอะไรได้บ้าง?  NLP ช่วยให้คอมพิวเตอร์สามารถทำงานที่เกี่ยวข้องกับภาษาของมนุษย์ได้หลากหลาย เช่น การนำ NLP มาใช้ในการทำธุรกิจ ด้วยการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง NLP กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจในหลากหลายด้าน โดยสามารถนำ NLP มาใช้งานได้หลายอย่างผ่านเครื่องมือต่าง ๆ ทั้งในมุมของการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน การบริการลูกค้า และการเก็บข้อมูลเชิงลึก ซึ่งในส่วนนี้จะยกตัวอย่างการนำ NLP ไปใช้ในธุรกิจ 5 ด้านด้วยกันดังนี้ NLP จะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเสมือน โดยการแก้ไขปัญหาหรือสนับสนุนการทำงานให้กับผู้ใช้โดยตรง เช่น การนำ Chatbots มาใช้ตอบคำถามและช่วยเหลือลูกค้าผ่านเว็บไซต์ NLP จะช่วยวิเคราะห์ความรู้สึกของลูกค้าผ่านข้อความที่ส่งเข้ามาหาองค์กร โดยการประเมินอารมณ์ว่าเป็นเชิงบวก เชิงลบ หรือเป็นกลาง เพื่อจัดลำดับความสำคัญของปัญหา NLP จะช่วยวิเคราะห์การกล่าวถึงแบรนด์บนโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มต่าง ๆ เพื่อทำความเข้าใจว่าลูกค้ามีความรู้สึกต่อผลิตภัณฑ์และแบรนด์อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นความคิดเห็นเชิงบวก เชิงลบ หรือเป็นกลาง NLP จะช่วยวิเคราะห์พฤติกรรม ความต้องการ และลักษณะเฉพาะของลูกค้าแต่ละราย เพื่อนำมาสร้างกลุ่มลูกค้าตัวอย่าง และนำข้อมูลที่ได้ไปออกแบบการสื่อสารและพัฒนาสินค้าให้ตรงกับความต้องการ ธุรกิจสามารถนำ NLP ไปใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างเนื้อหา ผ่านการป้อนคำสั่งให้โมเดล AI เขียนบทความ คำโฆษณา สร้างรูปภาพ หรือคลิปวิดีโอให้มีความน่าสนใจ และสามารถนำไปใช้งานได้ต่อได้ NLP จะทำหน้าที่เป็นระบบคัดกรองเนื้อหา โดยการตรวจจับและระบุว่าเนื้อหาไหนบนแพลตฟอร์มมีความไม่เหมาะสม เช่น มีความรุนแรง หรือมีการใช้คำไม่สุภาพ เพื่อลบเนื้อหาดังกล่าวออกจากแพลตฟอร์มโดยอัตโนมัติ NLP จะถูกนำไปใช้ในการดึงข้อมูลสำคัญมาจากแหล่งข้อมูล เช่น เอกสารรายงาน หรือฐานข้อมูล เพื่อนำข้อมูลมาเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่การวิเคราะห์ข้อมูล NLP ช่วยแยกประเภทและจัดลำดับความสำคัญของอีเมลแต่ละฉบับให้กับผู้ใช้งาน เช่น การจัดกลุ่มอีเมลตามประเภท เช่น งานด่วน คำร้องเรียน หรือคำถามทั่วไป NLP จะดึงข้อมูลสำคัญที่ HR ต้องการจาก Resume ของผู้สมัคร เช่น ทักษะ ประสบการณ์ และระดับการศึกษา เพื่อดูว่ามีคุณสมบัติตรงกับความต้องการหรือไม่ ช่วยลดเวลาการตรวจสอบเอกสารของ HR และเพิ่มความแม่นยำในการคัดเลือกเบื้องต้น NLP จะทำหน้าที่วิเคราะห์และจับคู่คุณสมบัติของผู้สมัครงานกับความต้องการในประกาศรับสมัครงาน เช่น ทักษะที่จำเป็นหรือประสบการณ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อกรองผู้สมัครที่ความเหมาะสมที่สุดสำหรับตำแหน่งนั้น ๆ เราจะเห็นว่าการทำงานของ AI ที่เราใช้งานกัน มีรากฐานสำคัญมาจากเทคโนโลยี NLP ที่มีส่วนช่วยให้คอมพิวเตอร์และโมเดลภาษาสามารถเรียนรู้และทำความเข้าใจภาษาของมนุษย์ จนถูกนำไปใช้งานในธุรกิจหลายด้าน ดังนั้นหากองค์กรเข้าใจหลักการทำงานของ NLP ก็จะสามารถนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้งานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและพัฒนาการดำเนินงานของธุรกิจให้ดียิ่งขึ้นได้ แหล่งอ้างอิง
19 March 2025
ประโยชน์ของ Power BI ที่มีต่อธุรกิจในยุคปัจจุบัน
Power BI คือ เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลจาก Microsoft ที่เปลี่ยนข้อมูลดิบให้กลายเป็นข้อมูลเชิงลึกที่มีความหมาย เพื่อใช้ในการวิเคราะห์แนวโน้มและผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เป็นหนึ่งในเครื่องมือ Business Intelligence (BI) ที่นิยมในปัจจุบัน เพราะช่วยให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้ง่ายขึ้น มีจุดเด่นที่ความสามารถในการเชื่อมต่อข้อมูลจากหลายแหล่ง การสร้างแดชบอร์ดแบบอินเทอร์แอคทีฟ และการใช้งานที่ไม่ซับซ้อน  ในบทความนี้จะนำทุกท่านไปรู้จักกับ Power BI เครื่องมือที่สามารถช่วยในการตัดสินใจที่ชาญฉลาดและรวดเร็วขึ้น ขยายขอบเขตของการวิเคราะห์ข้อมูลและการรายงาน ทำให้สามารถมองเห็นภาพรวมของธุรกิจได้อย่างละเอียดและชัดเจน องค์ประกอบของ Power BI  Power BI ไม่ใช่แค่รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเท่านั้น แต่ยังช่วยแสดงข้อมูลในรูปแบบที่เข้าใจง่าย สวยงาม และมีประสิทธิภาพ ทำให้เห็นภาพรวมของธุรกิจอย่างชัดเจน ทำให้สามารถวางแผนล่วงหน้าได้อย่างมั่นใจ ซึ่งมีองค์ประกอบหลักที่ช่วยให้การทำงานดำเนินไปได้อย่างง่ายดายดังนี้ 1. Power BI Desktop คือซอฟต์แวร์ Power BI บนคอมพิวเตอร์ที่สามารถเชื่อมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์ แปลงข้อมูล แล้วนำผลลัพธ์ที่ได้มาแสดงผลบนแดชบอร์ด 2. Power BI Service เป็นบริการที่อยู่บนคลาวด์ (Cloud) ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่ แบ่งปัน และเข้าถึงรายงานและแดชบอร์ดที่สร้างขึ้นด้วย Power BI Desktop สามารถแชร์รายงานและแดชบอร์ดให้กับบุคลากรทั้งภายในและภายนอกองค์กร 3. Power BI Mobile เป็นแอปพลิเคชั่น Power BI ที่ทำให้ผู้ใช้สามารถดูข้อมูลการวิเคราะห์บนโทรศัพท์ได้ และจะมีการแจ้งเตือนผู้ใช้แบบ Realtime หากมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น 4. Power BI Gateway เป็นเครื่องมือที่เชื่อมระหว่าง Power BI Service กับแหล่งข้อมูล (Data Sources) ขององค์กร เพื่อให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูล และนำไปสร้างรายงานกับแดชบอร์ดได้ โดยไม่ต้องย้ายข้อมูลไปอยู่บน Cloud 5. Power BI Embedded เป็นบริการที่ช่วยให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์สามารถเชื่อมต่อรายงานและแดชบอร์ดจาก Power BI ไปฝังในแอปพลิเคชั่นขององค์กรได้เลย โดยไม่ต้องเขียนโค้ดส่วนควบคุมและแสดงผลเพิ่มเติม 6. Power BI Report Builder เป็นเครื่องมือในการสร้างและออกแบบรายงานที่มีการแบ่งหน้า Paginated Reports ซึ่งเป็นรายงานที่ผู้ใช้สามารถจัดวางข้อมูล และต้องการพิมพ์เป็นเอกสารออกมา เพื่อให้การตรวจสอบและวิเคราะห์ทำได้ง่ายขึ้น Power BI มีประโยชน์ต่อธุรกิจอย่างไร Power BI เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากต่อธุรกิจในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลการขาย การวิเคราะห์ความพึงพอใจของลูกค้า หรือการติดตามความก้าวหน้าของโครงการ โดยการนำ Power BI เข้ามาใช้จะทำให้องค์กรได้ประโยชน์ 5 ข้อดังนี้ 1. สามารถใช้ร่วมกับซอฟต์แวร์ตัวอื่นของ Microsoft ได้ Power BI เป็นซอฟต์แวร์ของ Microsoft ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้ Power BI ร่วมกับซอฟต์แวร์ตัวอื่นได้ ยกตัวอย่างเช่น  2. เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้งานง่าย Power BI ถูกพัฒนาขึ้นให้มี UI ที่ใช้งานง่ายในทุกขั้นตอน เริ่มจากการเชื่อมต่อ Power BI รองรับการเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลหลายประเภท เช่น Microsoft Excel, SQL Server และ Google Analytics หลังจากเชื่อมต่อแล้ว ผู้ใช้ก็สามารถสร้างรายงานและแดชบอร์ดได้เลย เพียงนำข้อมูลมาวาง Power BI จะนำข้อมูลไปสร้างเป็นกราฟและแผนภูมิให้เองโดยอัตโนมัติ ในส่วนของการแสดงผล Power BI ยังมีเทมเพลตสำเร็จรูปที่ผู้ใช้สามารถปรับแต่งสี กราฟ และเลย์เอาต์ได้อิสระ นอกจากนี้ยังเลือกอุปกรณ์ที่จะนำรายงานขึ้นไปแสดงผลได้ ทั้งโทรศัพท์ แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์ เพื่อให้การแสดงผลเหมาะกับอุปกรณ์แต่ละประเภท 3. สามารถประมวลผลข้อมูลได้แบบ Real time ข้อมูลที่แสดงผลอยู่บนแดชบอร์ดสามารถอัปเดตได้ตามเวลาที่ต้องการ เหมาะสำหรับข้อมูลที่มีการอัพเดตอยู่เสมอ ซึ่ง Power BI มีตัวเลือกให้ผู้ใช้สามารถอัปเดตข้อมูลแบบ Real time ได้ถึง 3 วิธีด้วยกัน ดังนี้ 4. ลดต้นทุนในการวิเคราะห์ข้อมูล Power BI เป็นซอฟต์แวร์ที่ Microsoft พัฒนาขึ้นมาให้ผู้ใช้งานในองค์กรทุกระดับ หากผู้ใช้เป็นลูกค้า Microsoft Enterprise Agreement อยู่แล้ว ก็สามารถใช้งาน Power BI ได้ฟรี แต่ถ้ายังไม่เคยใช้งาน Power BI จะมีซอฟต์แวร์ให้เลือก 3 แพ็คเกจ ดังนี้ 5. พนักงานทำงานร่วมกันง่ายขึ้น Power BI ช่วยให้บุคลากรทำงานร่วมกันง่ายขึ้น เพราะสามารถทำงานพร้อมกัน ทั้งการดูและแก้ไขรายงานได้แบบ Real time ผ่าน Power BI Service จากนั้นเมื่อทำเสร็จแล้ว ผู้ใช้ก็สามารถแชร์ข้อมูลในฟอร์แมตต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้งานต่อได้ ไม่ว่าจะเป็นการแชร์เป็นไฟล์ PDF, Excel, Word หรือ PowerPoint  นอกจากนี้ Power BI ยังเป็นซอฟต์แวร์ที่สามารถนำไปใช้งานได้ในการดำเนินธุรกิจหลายด้าน ดังนี้ เจ้าของธุรกิจสามารถนำ Power BI ไปใช้ เพื่อดูข้อมูลแบบ Real time ด้านประสิทธิภาพการขาย การดำเนินการ และการเติบโตของรายได้ หรือในด้านการวางแผน การนำ Power BI มาใช้จะช่วยให้เจ้าของธุรกิจวิเคราะห์ข้อมูลการขายสินค้าในอดีตของพื้นที่ดังกล่าวว่าเป็นอย่างไร เพื่อนำมาวางแผนการตลาดในอนาคต ฝ่ายการตลาดสามารถนำ Power BI ไปใช้ เพื่อติดตาม KPI ต่าง ๆ ว่ามียอดเป็นอย่างไร เช่น ยอด Click-Through Rates, Conversion Rate บนเว็บไซต์ แล้วนำข้อมูลมาวิเคราะห์ว่ามียอดตามที่คาดหวังหรือไม่ เพื่อพัฒนาเว็บไซต์และคอนเทนต์ต่อ หรือจะเป็นการนำมาใช้สำหรับวิเคราะห์โซเชียลมีเดีย อย่างการให้ Power BI ติดตามยอด Like ยอด Share และ Comment ของโพสต์บนโซเชียลมีเดียขององค์กรว่ามีจำนวนมากแค่ไหน การใช้ Power BI ช่วยให้ฝ่ายขายสามารถสร้างแดชบอร์ดเพื่อติดตาม Sales Metrics เช่น รายได้รวม กำไรสุทธิ และอัตราการปิดยอดขาย ของพนักงานเป็นรายบุคคลและยอดของทีมโดยรวม นอกจากนี้ยังสามารถใช้ Power BI มาวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าว เพื่อคาดการณ์ยอดขายที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตตามระยะเวลาที่กำหนด ช่วยให้ทีมนำข้อมูลมาตั้งเป้าหมายที่คาดว่าจะทำได้จริงมากที่สุด...
25 February 2025
Data Visualization คืออะไร มีประโยชน์ และใช้งานอย่างไร ?
Data Visualization คือ การแสดงข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์และประมวลผลในรูปแบบที่เข้าใจง่ายและสื่อสารได้ชัดเจน เช่น แผนภูมิ แผนที่ อินโฟกราฟิก หรือรูปภาพ การนำเสนอเหล่านี้ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถมองเห็นแนวโน้ม รูปแบบ และข้อมูลเชิงลึกได้อย่างรวดเร็ว องค์กรจึงสามารถนำข้อมูลไปใช้ในการตัดสินใจที่แม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากทุกองค์กรมีข้อมูลสำคัญและมีความซับซ้อน ซึ่งข้อมูลปริมาณมากอาจทำให้การวิเคราะห์เกิดความผิดพลาดได้ ด้วยเหตุผลนี้ทำให้องค์กรต้องมีการทำ Data Visualization เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานมองเห็นภาพรวมได้ชัดเจน มีส่วนช่วยในการตัดสินใจทั้งในด้านการบริหารและการวางแผนธุรกิจ โดยการทำ Data Visualization นั้น มีรูปแบบการแสดงผลหลายประเภทด้วยกัน ซึ่งมี 5 รูปแบบที่เป็นที่นิยมนำมาใช้ในการทำงาน คือ ประโยชน์ของ Data Visualization  นอกจากการทำ Data Visualization จะช่วยให้องค์กรเห็นข้อมูลเชิงลึกที่ได้จากการสรุปข้อมูลออกมาแล้ว ยังช่วยให้องค์กรได้ประโยชน์ 5 ข้อดังต่อไปนี้ 1. ทำให้ข้อมูลที่มีความชัดเจนและเข้าใจง่าย การทำ Data Visualization ช่วยพนักงานที่มีความรู้ในระดับที่ต่างกันสามารถเข้าใจข้อมูลชุดเดียวกันได้ นอกจากนี้ยังช่วยเน้นข้อมูลสำคัญ แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของข้อมูล และแนวโน้มของการทำธุรกิจ ที่อาจสังเกตเห็นได้ยากหากดูจากข้อมูลดิบโดยตรง 2. ทำให้ข้อมูลมีความน่าสนใจมากขึ้น การดูข้อมูลดิบที่มีเฉพาะตัวเลขกับตัวอักษรส่งผลให้การดูมีความลำบากจนทำให้เกิดความสับสน แต่การทำ Data Visualization คือการนำข้อมูลมาสร้างเป็น Visual Content ที่มีการใช้ภาพ สี และรูปทรงมาแสดงผล ช่วยให้พนักงานเข้ามามีส่วนร่วมกับข้อมูลได้ง่าย ผ่านการจดจำข้อมูลเป็นภาพ ซึ่งง่ายกว่าการจำเป็นตัวอักษร 3. ช่วยให้บุคลากรตัดสินใจร่วมกันง่ายขึ้น แต่ละทีมย่อมมีวิธีการนำเสนอข้อมูลที่ต่างกัน ทำให้มีแค่พนักงานที่เกี่ยวข้องที่รู้วิธีการตีความข้อมูล การทำ Data Visualization จึงเป็นเหมือนสื่อกลางที่จะเข้ามาช่วยให้แต่ละทีมสามารถนำรายละเอียดที่มีความซับซ้อนมานำเสนอในรูปแบบที่เข้าใจง่ายและชัดเจนเหมือนกัน ช่วยให้บุคลากรทีมอื่นที่ไม่มีความรู้พื้นฐาน สามารถเข้าใจข้อมูลชุดเดียวกันและนำไปใช้งานต่อได้ เช่น ทีมการตลาดสามารถดูกราฟยอดขายเพื่อนำมาข้อมูลมาวางแผนการตลาดให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน 4. ช่วยให้การตัดสินใจทำได้เร็วขึ้น องค์กรสามารถเห็นรายละเอียดของข้อมูลที่ต้องการได้แบบ Real time ผ่านการนำข้อมูลมาแสดงผลบน Interactive Dashboard ที่จะช่วยให้องค์กรเห็นข้อมูลหลายชุดพร้อมกัน และสามารถนำข้อมูลไปใช้ในการตัดสินใจได้เร็วขึ้น โดยไม่ต้องรอให้นักวิเคราะห์ข้อมูลมาสร้างรายงานให้ตลอด 5. ช่วยตรวจจับความผิดปกติและข้อผิดพลาด อย่างที่กล่าวถึงว่าองค์กรมีการเก็บข้อมูลปริมาณมากเอาไว้ การสังเกตความผิดปกติโดยตรงจึงเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก แต่การนำข้อมูลมาสรุปในรูปแบบกราฟหรือแผนภูมิ จะทำให้เห็นภาพรวมอย่างชัดเจน ถ้าข้อมูลมีความผิดปกติ เช่น มีค่าที่สูงหรือต่ำเกินไป ก็จะช่วยให้องค์กรสามารถดำเนินการแก้ไขได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขั้นตอนการใช้งาน Data Visualization  การทำ Data Visualization มีขั้นตอนการใช้งาน 5 ข้อดังนี้ การที่เรารู้ก่อนว่าอยากสื่อสารข้อมูลอะไรออกไปจะช่วยเพิ่มคุณภาพของการทำ Data Visualization ให้มีมากขึ้น เพราะข้อมูลที่อยากสื่อสารออกไปจะช่วยให้องค์กรสามารถเลือกรูปแบบการนำเสนอได้เหมาะสมกับปริมาณข้อมูล การรู้ว่าผู้รับสารเป็นใครจะช่วยให้เราเลือกรูปแบบของการแสดงข้อมูลได้ถูก เช่น ผู้บริหาร ลูกค้า หรือทีมงานด้วยกัน ซึ่งนอกจากการรู้จักผู้รับสารในเบื้องต้น ผู้ออกแบบก็ควรจะรู้ข้อมูลเพิ่มเติมดังต่อไปนี้เพื่อนำมาทำ Data Visualization ได้ถูกต้อง อาทิ ต่อมาคือการเลือกรูปแบบการนำเสนอว่าข้อมูลที่เราต้องการสื่อสารเหมาะสมกับการนำเสนอแบบไหน เพราะการนำเสนอแต่ละรูปแบบมีความเหมาะสมกับข้อมูลที่ต่างกัน การเลือกใช้รูปแบบที่เหมาะสมกับข้อมูลของเราจะช่วยให้กลุ่มเป้าหมายเข้าใจข้อมูลได้ง่ายขึ้น ดังนี้ หลังจากที่เราเลือกรูปแบบได้แล้ว ก็มาถึงการออกแบบที่นอกจากตัวข้อมูลจะต้องมีความถูกต้อง เราจะต้องวางตำแหน่งชื่อข้อมูลและรายละเอียดให้ครบ เพื่อให้ผู้อ่านรู้ว่ากำลังดูข้อมูลอะไร และที่ขาดไม่ได้คือการเลือกใช้สีให้เข้ากับรูปแบบข้อมูลแต่ละส่วน ก็จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจความหมายที่ต้องการสื่อได้ง่าย มาถึงขั้นตอนสุดท้ายที่เราจะต้องเลือกซอฟต์แวร์มาแสดงข้อมูล ซึ่งในตลาดมีซอฟต์แวร์ให้เลือกจำนวนมาก ยกตัวอย่างซอฟต์แวร์ที่ได้รับความนิยม 5 ตัวดังต่อไปนี้ เพราะฉะนั้น การทำ Data Visualization จึงไม่ใช่การนำข้อมูลมาออกแบบให้มีความน่าสนใจอย่างเดียว แต่เป็นการนำข้อมูลที่มีความซับซ้อน มาสรุปให้เหลือเฉพาะรายละเอียดสำคัญที่จะช่วยให้เข้าใจข้อมูลได้ง่ายภายในเวลาสั้น ๆ ผ่านการแสดงผลในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้นำผลลัพธ์ไปใช้ประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจต่อได้ทันที สำหรับผู้ที่สนใจการทำ Data Visualization สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ : https://bdi.or.th/big-data-101/picking-chart-for-data-visualization/ แหล่งอ้างอิง
25 February 2025
Data-Driven คืออะไร? ทำไมองค์กรยุคใหม่ถึงให้ความสำคัญ
“ข้อมูล” เปรียบเสมือนเชื้อเพลิงที่ขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตและก้าวหน้า องค์กรที่สามารถใช้ข้อมูลอย่างชาญฉลาด ไม่เพียงแค่เพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขันเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างยั่งยืน การนำแนวคิด Data-Driven มาใช้ในองค์กรคือการเปลี่ยนแปลงก้าวสำคัญ ที่ไม่ใช่เพียงการเก็บข้อมูล แต่เป็นการวิเคราะห์และนำข้อมูลมาสนับสนุนการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ทุกระดับ ตั้งแต่การบริหารงานไปจนถึงการสร้างประสบการณ์ที่ตรงใจลูกค้า ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปดูกันว่า Data-Driven คืออะไร มีความสำคัญต่อองค์กรอย่างไร พร้อมทั้งบอกเทคนิคการผลักดันองค์กรให้เป็น Data-Driven Organization รวมถึงยกตัวอย่างองค์กรที่ประสบความสำเร็จจากการใช้ Data-Driven มาขับเคลื่อนองค์กร Data-Driven คืออะไร? Data-Driven คือแนวคิดหรือกลยุทธ์ในการใช้ข้อมูล (Data) เป็นศูนย์กลางในการวางแผน ตัดสินใจ ในการดำเนินธุรกิจ หรือจัดการกับกระบวนการต่าง ๆ ขององค์กร โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวางแผน เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และลดความเสี่ยงในการตัดสินใจ ข้อมูลที่นำมาใช้งานสามารถเป็นได้ทั้งข้อมูลภายในองค์กร เช่น ยอดขาย สต็อกสินค้า และข้อมูลภายนอกองค์กร เช่น เทรนด์ตลาด พฤติกรรมผู้บริโภค โดย Data-Driven จะมีลักษณะสำคัญ 3 ข้อ คือ 1. มีการใช้ข้อมูลเป็นหลัก ทุกการวางแผนหรือการตัดสินใจจะต้องอิงจากข้อเท็จจริงที่ได้จากข้อมูล ไม่ใช่การคาดเดาหรือสัญชาตญาณ 2. มีการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล ให้ความสำคัญกับการรวบรวมข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน และนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อหา Insights ที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจ 3. มีการใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือที่ทันสมัยช่วยวิเคราะห์ข้อมูล เช่น AI, Machine Learning, BI Tools เพื่อเพิ่มความรวดเร็วและแม่นยำในการประมวลผล ทำไมองค์กรยุคใหม่ให้ความสำคัญกับ Data-Driven? หลังจากโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ด้วยการเกิดโรคระบาด Covid -19 ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลกทั้งในระดับบุคคลและองค์กร ท่ามกลางความท้าทายนี้ ธุรกิจและหน่วยงานต่าง ๆ ได้ตระหนักถึงบทบาทสำคัญของ ข้อมูล เทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ช่วยให้การดำเนินชีวิตและการทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น แม้ในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน จากเดิมที่การทำธุรกิจเน้นการคาดการณ์และตัดสินใจบนผลกำไรเป็นหลัก แต่วันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไป หากขาดข้อมูลและเทคโนโลยี องค์กรอาจสูญเสียความสามารถในการเข้าใจลูกค้าและตอบสนองต่อความต้องการที่แท้จริง การตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลจึงไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็น หัวใจสำคัญของการอยู่รอดและความสำเร็จ โดยประโยชน์ของการนำข้อมูลมาใช้กับองค์กรนั้นครอบคลุมในหลายมิติ ดังนี้ การใช้ข้อมูลช่วยให้องค์กรตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ โดยอิงจากข้อมูลเชิงลึกและข้อเท็จจริง แทนที่จะใช้สัญชาตญาณหรือการคาดเดา นอกจากนี้การวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ช่วยให้ผู้บริหารสามารถตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงของตลาดได้ทันท่วงที ทำให้เกิดการวางแผนการตลาดที่ชาญฉลาดและสามารถตัดสินใจได้ว่าจะเลือกดำเนินการโดยใช้กลยุทธ์ใด องค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลจะสามารถเข้าใจลูกค้าได้ดี ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าจากรูปแบบพฤติกรรม ความชอบ และข้อเสนอแนะ ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจความต้องการของลูกค้า และสามารถออกแบบสินค้า บริการ รวมถึงการวางกลยุทธ์ทางการตลาดที่ตอบโจทย์ความคาดหวังของลูกค้า ด้วยการมอบประสบการณ์เฉพาะบุคคล (Personalization) จนสามารถเพิ่มความพึงพอใจและรักษาลูกค้าไว้ได้เช่นเดียวกัน การใช้ข้อมูลช่วยปรับปรุงกระบวนการทำงานจะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานด้านต่าง ๆ  ทั้งยังช่วยให้สามารถวัดผลการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากองค์กรสามารถจัดการข้อมูลได้อย่างเป็นระบบ ทำให้การทำงานภายในองค์กรมีความราบรื่น สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่มีอยู่มาดำเนินงานทางการตลาด และวัดผลได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ การวิเคราะห์ข้อมูลช่วยให้มองเห็นโอกาสใหม่ ๆ ในตลาด เช่น แนวโน้มของอุตสาหกรรม พฤติกรรมผู้บริโภคที่กำลังเปลี่ยนแปลง หรือการใช้ข้อมูลมาสนับสนุนการทดลองเพื่อการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ที่มีโอกาสประสบความสำเร็จสูง ข้อมูลช่วยให้องค์กรสามารถคาดการณ์ความเสี่ยง วิเคราะห์แนวโน้มตลาด และวางแผนกลยุทธ์ได้แม่นยำยิ่งขึ้น  สามารถคาดการณ์ความต้องการล่วงหน้าซึ่งการคาดการณ์ที่แม่นยำจะช่วยลดความสูญเสียและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้มากยิ่งขึ้น การผลักดันองค์กรให้เป็น Data-Driven Organization   ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทุกวันนี้ธุรกิจและอุตสาหกรรมต่าง ๆ ล้วนขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี การใช้ข้อมูลช่วยให้องค์กรสามารถก้าวนำคู่แข่งได้ สำหรับองค์กรที่ไม่ปรับตัว ไม่สามารถนำข้อมูล และเทคโนโลยีต่าง ๆ มาใช้งานได้ อาจเสียโอกาสในการแข่งขัน เพราะขาดข้อมูลเชิงลึกที่จำเป็น ดังนั้นการเปลี่ยนองค์กรให้ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล จึงไม่ใช่เพียงแค่การนำเทคโนโลยีมาใช้ แต่เป็นการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรและสร้างโครงสร้างที่รองรับการตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูล และนี่คือแนวทางที่องค์กรสามารถนำไปใช้เพื่อก้าวสู่การเป็น Data-Driven Organization ได้สำเร็จ 1. สร้างวัฒนธรรม Data-Driven ในองค์กร 2. รวบรวมและจัดการข้อมูลอย่างเป็นระบบ 3. ใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีที่เหมาะสม 4. ส่งเสริมการใช้ Data-Driven Insights ในการตัดสินใจ 5. สร้างทีมงานและโครงสร้างที่สนับสนุน Data-Driven 6. ประเมินผลและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง การผลักดันองค์กรให้เป็น Data-Driven Organization ต้องอาศัยทั้งการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี การสร้างวัฒนธรรมองค์กร และการสนับสนุนจากผู้นำในการวางโครงสร้างที่ชัดเจน รวมถึงส่งเสริมการใช้ข้อมูลในทุกกระบวนการ จะช่วยให้องค์กรสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในยุคดิจิทัล ตัวอย่างองค์กรที่ประสบความสำเร็จด้วยแนวคิด Data-Driven Amazon Amazon เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่โดดเด่นของการใช้ข้อมูลเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ด้วยการนำข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคมาวิเคราะห์ เช่น Netflix Netflix ใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อเข้าใจพฤติกรรมการรับชมของผู้ใช้ เช่น Google Google ใช้ข้อมูลเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ เช่น Starbucks Starbucks ใช้ข้อมูลในการวางแผนธุรกิจและปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า เช่น Tesla Tesla ใช้ข้อมูลจากรถยนต์ทุกคันที่เชื่อมต่อกับระบบคลาวด์ เพื่อ Spotify   อีกหนึ่งแคมเปญที่มีชื่อเสียงอย่างมากของ Spotify ที่รู้จักกันในนาม “Spotify Wrapped” ถือเป็นแคมเปญการตลาดสุดโด่งดังที่เริ่มตั้งแต่ปี 2015  จากตัวอย่างที่ยกมา เราจะเห็นได้ว่า Data-Driven คือ แนวคิดสำคัญที่องค์กรชั้นนำระดับโลกนำมาปรับใช้ให้เข้ากับบริบททางธุรกิจ เพราะเมื่อเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิต ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของพฤติกรรมผู้บริโภค “การขับเคลื่อนธุรกิจด้วยข้อมูล” นอกจากจะช่วยให้องค์กรดึงศักยภาพของข้อมูลออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่แล้ว ยังช่วยให้เราเข้าใจในพฤติกรรมของผู้บริโภคมากขึ้น รวมถึงช่วยให้แต่ละฝ่ายตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยมีข้อมูลอ้างอิงที่เป็นรูปธรรม และยังช่วยพัฒนาสินค้าและบริการให้ดียิ่งขึ้น ไปจนถึงช่วยให้การบริหารองค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย         อ้างอิง : 
10 January 2025
PDPA Icon

We use cookies to optimize your browsing experience and improve our website’s performance. Learn more at our Privacy Policy and adjust your cookie settings at Settings

Privacy Preferences

You can choose your cookie settings by turning on/off each type of cookie as needed, except for necessary cookies.

Accept all
Manage Consent Preferences
  • Strictly Necessary Cookies
    Always Active

    This type of cookie is essential for providing services on the website of the Personal Data Protection Committee Office, allowing you to access various parts of the site. It also helps remember information you have previously provided through the website. Disabling this type of cookie will result in your inability to use key services of the Personal Data Protection Committee Office that require cookies to function.
    Cookies Details

  • Performance Cookies

    This type of cookie helps the Big Data Institute (Public Organization) understand user interactions with its website services, including which pages or areas of the site are most popular, as well as analyze other related data. The Big Data Institute (Public Organization) also uses this information to improve website performance and gain a better understanding of user behavior. Although the data collected by these cookies is non-identifiable and used solely for statistical analysis, disabling them will prevent the Big Data Institute (Public Organization) from knowing the number of website visitors and from evaluating the quality of its services.

  • Functional Cookies

    This type of cookie enables the Big Data Institute (Public Organization)’s website to remember the choices you have made and deliver enhanced features and content tailored to your usage. For example, it can remember your username or changes you have made to font sizes or other customizable settings on the page. Disabling these cookies may result in the website not functioning properly.

  • Targeting Cookies

    "This type of cookie helps the Big Data Institute (Public Organization) understand user interactions with its website services, including which pages or areas of the site are most popular, as well as analyze other related data. The Big Data Institute (Public Organization) also uses this information to improve website performance and gain a better understanding of user behavior. Although the data collected by these cookies is non-identifiable and used solely for statistical analysis, disabling them will prevent the Big Data Institute (Public Organization) from knowing the number of website visitors and from evaluating the quality of its services.

Save settings