Cryptocurrency

Cryptocurrency

ข่าวและบทความที่เกี่ยวข้อง

Related news and articles

PostType Filter En

บทความ

วิเคราะห์ NFT: ความเข้าใจในมูลค่าสินทรัพย์
ตามหลักการแล้ว มูลค่าของ Non-Fungible Token (NFT) หรือสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีลักษณะเฉพาะตัวในทุกวันนี้ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนจะมองมันอย่างไร โดยเมื่อเวลาผ่านไปมูลค่าของ NFT ชิ้นหนึ่งจะเปลี่ยนไปอย่างไรก็ยังไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้แน่ชัด ( NFT คือ ) ตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา แนวคิดของสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีลักษณะเฉพาะตัว (NFT) ได้กลายเป็นตัวแทนของนวัตกรรมเทคโนโลยีที่โดดเด่นที่สุดอย่างหนึ่งในยุคนี้ ตามแก่นแท้ของ NFT คือสินทรัพย์ดิจิทัลที่ถูกสร้างขึ้น ซื้อขาย และแลกเปลี่ยนในตลาด Blockchain ส่วนใหญ่ผ่านทางสกุลเงินคริปโต เช่น Ethereum เป็นต้น การผสมผสานเทคโนโลยี Blockchain เข้าด้วยกันสามารถทำให้ผู้ใช้สามารถพิสูจน์ได้ว่า NFT แต่ละชิ้นเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลของแท้ที่ไม่เหมือนใคร นอกจากนี้ Blockchain ยังสามารถช่วยตามรอยเจ้าของคนก่อน ๆ ได้อีกด้วย ตั้งแต่มีการเปิดตัวในวงกว้างในปี 2017 ผ่านทางเกม เช่น Axie Infinity, CryptoKitties, และ My Crypto Heroes เป็นต้น NFT ก็ได้รับความนิยมอย่างมากมายมหาศาลจากคนทั่วโลก จากการประสบความสำเร็จในการผสมผสานเข้ากับโลกแห่งศิลปะดิจิทัล NFT บางชิ้นสามารถขายได้หลายล้าน หรือแม้กระทั่งหลายสิบล้านดอลลาร์ ทำให้มีการคาดคะเนกันอย่างแพร่หลายถึงมูลค่าที่แท้จริงของ NFT ในฐานะสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทใหม่ขึ้นมา อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับสินค้าโภคภัณฑ์และสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น ๆ ตัว NFT เกือบทั้งหมดมีมูลค่าน้อยมาก ไปจนถึงไม่มีมูลค่าที่แท้จริงเลย แต่มูลค่าของ NFT กลับขึ้นอยู่กับความต้องการที่ผันผวนของตลาดผู้บริโภค NFT สร้างมูลค่าอย่างไร โดยพื้นฐานแล้ว จุดดึงดูดของ NFT คือการคนซื้อสามารถเป็นเจ้าของสินทรัพย์ดิจิทัลนั้น ๆ ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นงานศิลปะชิ้นหนึ่ง สิ่งของที่ใช้ในวิดีโอเกม หรือแม้แต่ไฟล์ ทวีตแรกสุด ของแจ็ค ดอร์ซีย์ อดีต CEO ของทวิตเตอร์ แม้ว่าจะมีอีกบุคคลหนึ่งที่ “เป็นเจ้าของ” ชิ้นดั้งเดิมที่ถูกเปลี่ยนให้เป็น NFT (เช่นศิลปินปล่อยเพลงหรือ มิวสิควิดีโอเป็น NFT) ผู้ซื้อ NFT ก็สามารถอวดอ้างสิทธิ์การเป็นเจ้าของไฟล์ดั้งเดิมได้  หลังจากนั้นเจ้าของจะเลือกถือสิทธิ์การเป็นเจ้าของ NFT นั้นไว้หรือจะเลือกขายต่อเพื่อเอากำไรก็ย่อมได้ เพื่อทำความเข้าใจเรื่องนี้ เราต้องดูว่ามูลค่าของ NFT แปรผันตามมูลค่าที่ผู้ใช้มองมันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ถ้าผู้ใช้จำนวนมากในกลุ่มตลาดผู้บริโภคกลุ่มหนึ่งมอง NFT ชิ้นนั้นว่าเป็นของหายากกว่าชิ้นอื่น ๆ ผู้ใช้เหล่านั้นยิ่งให้มูลค่า NFT ดังกล่าวมากขึ้น เช่นเดียวกับผู้สะสมงานศิลปะหรือของที่ระลึกเกี่ยวกับกีฬา มูลค่านั้นไม่ได้มีอยู่ในตัวสิ่งของที่พวกเขาได้มา แต่อยู่ที่ว่าตลาดมองเห็นมันอย่างไร  อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกด้านหนึ่งของ NFT ที่สามารถช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มเติมได้ผ่านการผสมผสานการใช้สัญญาอัจฉริยะหรือสมาร์ทคอนแทรคท์ การสร้างมูลค่าในกรรมสิทธิ์ตลอดชีพผ่านสัญญาอัจฉริยะ สัญญาเหล่านี้อนุญาตให้ผู้ใช้สามารถพิสูจน์อัตลักษณ์และความเป็นเจ้าของ NFT ใดก็ได้เมื่อมีการทำธุรกรรมซื้อขาย เพราะภายใน Blockchain นั้นมีโปรแกรมสำหรับ สัญญาอัจฉริยะ อยู่ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเห็นได้ว่าใครเป็นคนแรกที่สร้าง NFT ชิ้นนั้นแล้ว สัญญาอัจฉริยะยังสามารถอนุญาตให้ผู้สร้างคนแรกได้รับเงินส่วนหนึ่งในรูปแบบของ การจ่ายเงินค่าสิทธิ จากธุรกรรมแต่ละครั้งที่เกิดขึ้นได้ด้วย บางทีนี่อาจเป็นวิธีที่ถูกต้องและยุติธรรมที่สุดที่สินทรัพย์ดิจิทัลชนิดใหม่อย่าง NFT สามารถให้ส่วนแบ่งโดยตรงกับทั้งผู้สร้างและผู้บริโภคอย่างเท่าเทียม ยิ่ง NFT นั้นขายได้ราคามากเท่าไร ผู้สร้างคนแรกก็จะยิ่งสามารถได้รับค่าสิทธิมากขึ้นเท่านั้นผ่านสัญญาอัจฉริยะของสินทรัพย์นั้น Andy Rosen (แอนดี้ โรเซ็น) นักเขียนด้านการลงทุนของ Nerdwallet กล่าวว่า “ในทางกลับกัน ผู้ซื้อที่สนับสนุนผู้สร้างที่กำลังลำบากด้วยการซื้อ NFT อาจมีโอกาสได้ส่วนแบ่งรายรับจากโครงการอื่น ๆ ในภายภาคหน้า”  Rosen อธิบายถึงอีกวิธีการหนึ่งซึ่ง NFT สามารถสร้างมูลค่าได้โดยการใช้วิธีลงทุนขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องและยก VeeFriends ของนักลงทุน Gary Vaynerchuk (แกรีย์ เวย์เนอร์ชัค) มาเป็นตัวอย่าง คนที่ซื้อ NFT ชุดนี้หนึ่งชุด จะได้รับตั๋วฟรีเข้าร่วม VeeCon ซึ่งเป็นการประชุมใหญ่ทางธุรกิจประจำปีของ Vaynerchuk อีกทั้งยังเป็น “งานอีเว้นท์สำหรับผู้ถือ NFT [VeeFriend] โดยเฉพาะ” อีกด้วย บางคนอาจประหลาดใจเมื่อทราบว่า หากอ้างอิงจากแนวคิดทั่ว ๆ ไปนั้น NFT ไม่มีมูลค่าที่แท้จริงอยู่เลย แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่า NFT ในฐานะสินทรัพย์ดิจิทัลกลุ่มหนึ่งจะไม่มีมูลค่า แม้ว่าจะมีหลายปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อมูลค่าที่ NFT หนึ่ง ๆ จะถูกตีราคา แต่ปัจจัยเหล่านั้นแทบทั้งหมดได้รับอิทธิพลและถูกกำหนดโดยตลาดผู้ใช้เพียงอย่างเดียว ยิ่ง NFT หายากหรือมีประโยชน์มากเท่าไร หรือยิ่งสินทรัพย์บางอย่างมีศักยภาพในการลงทุนสูงเท่าไร ผู้ใช้หลายคนยิ่งมองเห็นมูลค่าสูงมากขึ้นเท่านั้น หากไม่มีมูลค่าที่รับรู้จากตลาด NFT ก็ไม่ได้มีมูลค่ามากไปกว่าสินทรัพย์หรือสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ เนื่องจากหลายๆ คนยังถือว่า NFT เป็นนวัตกรรมใหม่ ศักยภาพที่แท้จริงของมันในฐานะสิ่งสร้างมูลค่าจึงยังคงถูกมองข้ามอยู่  แม้ว่าอาจมีเปลี่ยนแปลงในอนาคต แต่จนกว่าวันนั้นจะมาถึง NFT ก็มีมูลค่าแค่เท่าที่ตลาดเห็นว่ามันมี บทความโดย Hironobu Uenoเนื้อหาจากบทความของ InformationWeekแปลและเรียบเรียงโดย ไอสวรรค์ ไชยชะนะตรวจทานและปรับปรุงโดย ดวงใจ จิตคงชื่น
24 August 2022

บทความ

CBDC: ระบบการเงินที่กำลังเปลี่ยนโลก และโอกาสของนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล, Part 1
ทุกวันนี้ พูดได้เลยว่า ไม่มีใครที่ไม่เคยได้ยินสกุลเงินคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัล (Digital Currency) ประเภทหนึ่ง โดยสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งเป็น “เงินบนอินเทอร์เน็ต” กล่าวคือ มีอยู่ ถูกจัดเก็บ ถูกใช้ ผ่านระบบดิจิทัลที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตทั้งหมด จากกระแสสกุลเงินดิจิทัล ธนาคารกลางแต่ละประเทศก็เริ่มตื่นตัวกับกระแสนี้ บทความนี้จะพาทุกท่านทำความรู้จักกับสกุลเงินดิจิทัลที่มาจากธนาคารกลาง หรือ Central Bank Digital Currency (CBDC) และคลื่นลูกใหม่แห่งความเป็นไปได้ที่อาจจะพลิกโฉมชีวิตทางการเงินของเราทุกคนในอนาคต รวมถึงโอกาสด้านการวิเคราะห์ข้อมูลที่จะเกิดขึ้นจากข้อมูลจำนวนมหาศาลที่จะเกิดขึ้นบนระบบทางการเงินดิจิทัลนี้ด้วย CBDC คืออะไร? CBDC คือ สกุลเงินดิจิทัลที่มีธนาคารกลางคอยกำกับดูแล เราอาจคุ้นหูในชื่อของ Digtal Yuan ของประเทศจีนหรือ Digital Thai Baht ของประเทศไทยมากกว่า แต่คำว่า CBDC ถือเป็นชื่อเรียกของนวัตกรรมนี้โดยรวม CBDC ถือเป็นเงินทางเลือก (เช่นเดียวกับ เงินสด และ ​​​เงินอิเล็กทรอนิกส์) เอาไว้ใช้ในกิจกรรมทางการเงินสำหรับประชากรที่อยู่อาศัยในประเทศนั้น สกุลเงินนี้จะถูกใช้อยู่บนกระเป๋าเงินดิจิทัล (บัญชีธนาคาร) และเราสามารถส่งเงินสกุลนี้ไปยังกระเป๋าเงินของบุคคลอื่นเพื่อใช้ในการชำระหนี้อย่างถูกกฎหมาย (เหมือนกับเงินสดทุกประการ) ธนาคารกลางจะมีหน้าที่กำกับดูแลระบบการใช้จ่ายนี้ในหลาย ๆ มิติ ได้แก่ ความปลอดภัยของระบบ ความสะดวกรวดเร็วในการทำธุรกรรม เสถียรภาพทางการเงินของสกุลเงินนี้ และ การวางรากฐานในการสร้างนวัตกรรมบนระบบนี้ เป็นต้น กล่าวโดยสรุปคือ CBDC เป็น “เงินสดในรูปแบบดิจิทัล” ที่รองรับโดยธนาคารกลางของแต่ละประเทศนั่นเอง CBDC เป็น “เงินสดในรูปแบบดิจิทัล” ที่รองรับโดยธนาคารกลางของแต่ละประเทศ CBDC แตกต่างจาก Internet Banking อย่างไร? ผู้อ่านหลาย ๆ ท่านอาจจะสงสัยว่า แล้วทุกวันนี้ ที่เราโอนเงิน รับเงินกันผ่านมือถือ ผ่านแอพต่าง ๆ เช่น เป๋าตัง, TMB Touch, SCB Easy มันก็เหมือนเราใช้เงินในรูปแบบดิจิทัลอยู่แล้วไม่ใช่หรือ แล้ว CBDC มันต่างจาก “เงินดิจิทัล” ที่เราใช้กันอยู่แล้วทุกวันนี้ บนแอพธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ อย่างไร? Internet Banking คือบริการที่อำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมทางการเงินของธนาคารพาณิชย์บนระบบการเงินแบบดั้งเดิม ในระบบการเงินนี้ ธนาคารพาณิชย์เป็นองค์กรธุรกิจทีมีหน้าที่รับฝากเงินจากลูกค้าและหากำไรจากการนำเงินเหล่านั้นไปลงทุน หรือปล่อยกู้เพื่อกินส่วนต่าง เงินที่เราฝากกับธนาคารพาณิชย์จะเป็นทรัพย์สินของธนาคารพาณิชย์ที่ตัวธนาคารสามารถไปสร้างผลกำไรต่อ และตัวเลขในบัญชีธนาคารคือหนี้สินของธนาคารที่มีต่อเรานั่นเอง ทุก ๆ ครั้งที่เราถอนเงินจากบัญชี เราได้ทำการขอคืนเงินของเราที่ให้ธนาคารยืมไป หากจะยกตัวอย่างกรณีสุดโต่งเพื่อให้เห็นภาพมากยิ่งขึ้น ธนาคารพาณิชย์เองก็สามารถล้มละลายได้ หากธนาคารพาณิชย์ปิดตัวลง เงินของเราที่ฝากในธนาคารก็มีความเสี่ยงที่จะหายไปด้วย โดยสรุป Internet Banking คือบริการเสริมจากบริการรับฝากเงินของธนาคารพาณิชย์ แต่ CBDC เปรียบเสมือนเงินสดบนระบบดิจิทัลรองรับโดยธนาคารกลาง ในอีกแง่หนึ่ง CBDC เป็นหนี้สินของธนาคารกลางที่มีต่อเรา (เช่นเดียวกันกับเงินสด) นอกจากนี้ CBDC จะถูกใช้งานอยู่บนระบบหลังบ้านในการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านระบบดิจิทัลจากธนาคารกลาง ระบบนี้จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของประเทศที่พัฒนารูปแบบของเงินให้อยู่บนระบบดิจิทัลแทน ระบบนี้นอกเหนือจากสามารถดำเนินการทำธุรกรรมทางเงินปกติแล้วนั้น ก็ยังรองรับการสร้างนวัตกรรมทางการเงินอื่น ๆ บนตัวระบบอีกด้วย โดยเฉพาะการเขียนสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) หรือการสร้างระบบการทำธุรกรรมอัตโนมัติโดยการกำหนดเงื่อนไขของการทำธุรกรรม (ซึ่งจะอธิบายเพิ่มเติมในบทความถัดไป) นอกเหนือจากนี้ CBDC ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อจะรองรับการเชื่อมต่อกับระบบดิจิทัลอื่น ๆ ที่จะตามมาอีกด้วย ตัวอย่างเช่น Asset Tokenization (การซื้อขายหน่วยสินทรัพย์บนระบบดิจิทัล), Digital Identity (ข้อมูลประจำตัวประชาชนบนระบบดิจิทัล), Digital Wallet (กระเป๋าสตางค์ดิจิทัล) เป็นต้น Internet Banking คือบริการที่อำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมทางการเงินของธนาคารพาณิชย์บนระบบการเงินแบบดั้งเดิม แต่ CBDC เปรียบเสมือนเงินสดบนระบบดิจิทัลรองรับโดยธนาคารกลาง CBDC แตกต่างจาก Cryptocurrency อย่างไร? CBDC และ Cryptocurrency ทั้งคู่เปรียบเสมือนโฉมหน้าของการเงินของอนาคต ทั้งสองทำงานอยู่บนระบบดิจิทัลเหมือนกัน เราสามารถโอนย้ายสินทรัพย์ต่าง ๆ โดยที่ไม่ถูกปิดกั้นจากข้อจำกัดทางกายภาพแบบเดิม ๆ ถึงกระนั้น ทั้งคู่มีความแตกต่างทางด้านเทคโนโลยีพื้นฐานและแนวคิดของการมีอยู่ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ทำให้สกุลเงินทั้งสองมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เรามาทำความเข้าใจเทคโนโลยีเหล่านี้ให้ดีขึ้นกันดีกว่า วิธีที่จะเข้าใจ Cryptocurrency ที่ดี คือให้จินตนาการว่า ถ้าเราอยากส่งเงินไปให้แม่ค้าออนไลน์เพื่อซื้อของ เราจะทำอย่างไร? ในปัจจุบัน เราใช้บริการธนาคารในการโอนเงินจากบัญชีของเราไปหาบัญชีของแม่ค้า ธุรกรรมนี้จะถูกบันทึกโดยธนาคาร เพราะเราเชื่อใจให้ธนาคารที่เก็บเงินและทำธุรกรรมให้เรา  นี้คือระบบการเงินในปัจจุบันที่เราอาศัย “ตัวกลาง” ในการทำธุรกรรมให้เรา (ดังในรูปที่ 4 ด้านซ้าย) แต่ในปัจจุบัน เทคโนโลยีบล็อกเชนอนุญาตให้มีระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ช่วยกันเก็บข้อมูลร่วมกันด้วยหลักการกระจายศูนย์ข้อมูล (Distributed Ledger Technology: DLT) และป้องกันไม่ให้ข้อมูลในอดีตถูกเปลี่ยนแปลงได้ด้วยศาสตร์การเข้ารหัส (Cryptography) เทคโนโลยีนี้จะเข้ามาสร้างผลกระทบในระบบการเงินปัจจุบัน ด้วยการสร้างระบบคอมพิวเตอร์กระจายศูนย์เพื่อร่วมกันบันทึกธุรกรรมการเงินที่เกิดขึ้นในระบบทั้งหมด (ดังในรูปที่ 4 ด้านขวา) โดยที่ตัว Cryptocurrency เองจะถูกใช้เป็นทั้งตัวทรัพย์สินและค่าบริการในระบบการทำธุรกรรมไร้พรมแดนนี้ ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงกล่าวว่า Cryptocurrency เป็นระบบการเงินที่ “ไร้ตัวกลาง” ในปัจจุบันการใช้งานเครือข่ายคอมพิวเตอร์นี้ช่วยสร้างอรรถประโยชน์อีกมากโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ยังพึ่งพาตัวกลาง ได้แก่ การฝาก-กู้เงิน การซื้อ-ขายพลังงานสะอาด การขอข้อมูลจากแหล่งข้อมูล (API) เป็นต้น ซึ่งตัวอย่างเหล่านี้ได้ก่อให้เกิดความต้องการในการใช้บริการระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ซึ่งนั่นส่งผลให้เหรียญ Cryptocurrency ที่ถูกใช้เป็นค่าบริการมีราคาที่เพิ่มสูงขึ้น โดยสรุปแล้ว Cryptocurrency เป็นสกุลเงินเพื่อใช้ในการโอนย้ายมูลค่า และใช้เพื่อจ่ายเป็นค่าธรรมเนียมในการใช้บริการในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์กระจายศูนย์ ส่วน CBDC เป็นเงินสดในระบบดิจิทัลที่ดูแลโดยธนาคารกลางเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำกิจกรรมทางการเงินในประเทศ หน้าที่อีกอย่างของธนาคารกลางคือการทำให้เงินสกุลนี้มีเสถียรภาพ ผ่านนโยบายทางการเงินต่าง ๆ นอกเหนือจากนี้ ธนาคารกลางยังมีหน้าที่ตรวจสอบการใช้เงินสกุลนี้ในกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย เช่น การฟอกเงิน และการก่อการร้าย เป็นต้น และท้ายที่สุด CBDC ก็พร้อมจะรองรับการสร้างเทคโนโลยีทางการเงินใหม่ ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในระบบ Cryptocurrency อีกด้วย แต่ทำงานโดยที่มีธนาคารกลาง/รัฐบาลดูแลอยู่ เพราะฉะนั้น CBDC เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ถูกกำกับดูแลโดยธนาคารกลาง ทั้งคู่เปรียบเสมือนเหรียญสองด้านของระบบการเงินในโลกอนาคต ธนาคารกลางมีเหตุผลในการควบคุม CBDC สกุลเงินนี้ เพราะมันเป็นตัวอำนวยความสะดวกในการทำกิจกรรมทางการเงินภายในประเทศ เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินนโยบายทางการเงินต่าง ๆ พร้อมทั้งป้องกันไม่ให้เกิดการนำเงินนี้ไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมาย ในขณะที่ Cryptocurrency เน้นทางด้านการใช้ประโยชน์จากระบบเก็บข้อมูลที่ไม่อาศัยตัวกลางใด ๆ และในบางเหรียญ เช่น Bitcoin ก็มีคุณค่าในการไม่สามารถถูกควบคุมโดยใคร และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเงินได้อีก ปัจจัยเหล่านี้สร้างความหนักใจให้กับรัฐบาลในการยอมรับ Cryptocurrency ให้มีการใช้งานจริงในประเทศ เพราะอาจทำให้รัฐบาล/ธนาคารกลางไม่สามารถออกนโยบายทางการเงินที่เกิดประสิทธิผลในประเทศได้ อย่างไรก็ดี ยังไม่มีอะไรที่แน่ชัดออกมาจากธนาคารกลาง เป็นไปได้ว่าความสัมพันธ์ของเงินสองสกุลนี้อาจจะเสริมซึ่งกันและกันก็เป็นได้ Cryptocurrency เป็นสกุลเงินเพื่อใช้ในการโอนย้ายมูลค่า และใช้เพื่อจ่ายเป็นค่าธรรมเนียมในการใช้บริการในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์กระจายศูนย์ ในขณะที่ CBDC เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ถูกกำกับดูแลโดยธนาคารกลาง ซึ่งในทั้งสองระบบ เราสามารถโอนย้ายสินทรัพย์ต่าง ๆ โดยที่ไม่ถูกปิดกั้นจากข้อจำกัดทางกายภาพแบบเดิม ๆ ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อระบบเศรษฐกิจจากการออก CBDC คนจะเข้าถึงบริการทางการเงินได้ทั่วถึงยิ่งขึ้น ในประเทศที่ยากจน ธนาคารพาณิชย์ที่มีขนาดใหญ่เลือกที่จะเปิดสาขาในพื้นที่ในเมืองไม่ใช่ชนบท เป็นเพราะว่า ธนาคารสามารถทำกำไรกับลูกค้าบริเวณนั้น ทำให้ประชาชนในพื้นที่ที่ห่างไกลไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างเท่าเทียม แต่เมื่อ CBDC มาแล้วนั้น...
24 June 2021

บทความ

เทคโนโลยี AI ที่จะปฏิวัติการซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency)
นวัตกรรมทางเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้ง ได้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในทุกด้านของโลก ซึ่ง ณ ตอนนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่าองค์กร หรือ อุตสาหกรรมใด ๆ นั้น อยากที่จะมีปัญญาประดิษฐ์ หรือที่ เรียกว่า AI ที่มีความก้าวหน้า และมีความสามารถในการเรียนรู้ได้อย่างแม่นยำ เข้ามาเป็นหนึ่งในกระบวนการทำงานขององค์กร แต่ยังมีอีกหัวข้อที่ฮอตฮิตและถูกกล่าวถึงเป็นอย่างมากตั้งแต่ต้นปี 2021 คู่ขนานกับ AI นั้นก็คือ คริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ถึงขนาดที่ว่าเมื่อช่วงกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Elon Musk ได้ออกมาประกาศว่าสามารถใช้ Bitcoin (หนึ่งในสกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกของคริปโทเคอร์เรนซี) ซื้อรถ Tesla ได้ จากข้อความที่กล่าวมานั้นแสดงให้เห็นได้ว่าคริปโทเคอร์เรนซีกำลังเข้ามามีบทบาทอย่างมาก ณ ขณะนี้ไม่แพ้กันกับปัญญาประดิษฐ์ โดยบทความนี้จะพูดถึงว่าปัญญาประดิษฐ์จะเข้ามามีบทบาทในยุคของคริปโทเคอร์เรนซีอย่างไร ลองติดตามอ่านจากบทความนี้ได้เลยค่ะ ปัญญาประดิษฐ์ทำให้เกิดเทคโนโลยี ดั่งที่บล็อกเชนทำให้เกิดอุตสาหกรรมคริปโทเคอร์เรนซี หลายบริษัทสตาร์ทอัพมีความกระหายที่จะได้เงินหรือได้ประโยชน์ จากกระบวนการวิเคราะห์เชิงลึกของปัญญาประดิษฐ์นี้ ที่มีความฉลาดคล้ายคลึงมนุษย์ และสามารถก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นการกระทำได้ ดังนั้นบริษัทที่มีการนำปัญญาประดิษฐ์มาประยุกต์ใช้ในกระบวนการทำงานจึงสามารถดึงดูดเงินทุนได้มากกว่าบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆถึง 15-50% ในภาคการเงินแบบดั้งเดิม อย่างเช่นตลาดหุ้นนั้น ระบบปัญญาประดิษฐ์ได้เข้ามามีบทบาทอย่างมาก ในด้านการใช้ดูแลพอร์ตการลงทุน หรือในการวิเคราะห์เพื่อคัดเลือกหุ้นมาลงทุนในแต่ละช่วงเวลาโดยมีหลักฐานที่น่าสนใจที่แสดงให้เห็นว่าปัญญาประดิษฐ์นั้นสามารถตัดสินใจซื้อขายหุ้นได้ดีกว่ามนุษย์ อีกทั้งยังมีการศึกษาล่าสุดพบว่าคอมพิวเตอร์สามารถให้ผลลัพธ์ที่ดีในแง่ของการตัดสินใจในการลงทุนได้ดีกว่าการจัดการโดยคนอย่างมีนัยสำคัญ แล้วในโลกการลงทุนคริปโทเคอร์เรนซีล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง? ปัญญาประดิษฐ์จะส่งผลกระทบอะไรต่ออุตสาหกรรมคริปโทเคอร์เรนซี? ท้ายที่สุดการเพิ่มขึ้นของปัญญาประดิษฐ์จะทำให้การเทรดโดยมนุษย์ล้าสมัยลงไปหรือไม่? ด้วยการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งสามารถสร้างวันซื้อขายได้หลายล้านล้านวันและทำให้เกิดการซื้อขายแบบอัลกอริทึมที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่ามนุษย์ การตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลเป็นหลักนั้นจะช่วยขจัดสิ่งที่ครอบงำนักลงทุน ไม่ว่าจะเป็นความคิดที่มีอคติเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งจะสามารถป้องกันไม่ให้พวกเขาดำเนินการซื้อขายอย่างไร้เหตุผล คอมพิวเตอร์ที่ได้รับการฝึกฝนด้วยการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) อย่างต่อเนื่องจะทำให้เกิดข้อมูลเชิงลึกที่แม่นยำกว่ามนุษย์ สิ่งนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วและตอนนี้ได้ถูกนำไปใช้กับภาคส่วนคริปโทเคอร์เรนซี ด้วยผลลัพธ์ที่น่าเชื่อที่พอกันกับความสามารถของมนุษย์ แล้วปัญญาประดิษฐ์คืออะไร? ปัญญาประดิษฐ์เป็นองค์ประกอบรวม เกี่ยวกับการสร้างเครื่องจักรที่มีความชาญฉลาดและมีความสามารถเพียงพอที่จะทำงานที่โดยปกติแล้วจะต้องใช้ข้อมูลและสติปัญญาของมนุษย์ ในวันนี้ปัญญาประดิษฐ์และ Machine Learning ได้นำการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มาสู่ทุกภาคส่วนของโลกเศรษฐกิจสังคมและตลาดคริปโทเคอร์เรนซีก็อยู่ในกลุ่มนี้เช่นกัน แล้วคริปโทเคอร์เรนซีล่ะ คืออะไร หากจะพูดให้เข้าใจง่าย ๆ Cryptocurrency ก็คือ เงินตราเข้ารหัสลับโดยใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า Blockchain ที่เก็บข้อมูลแบบกระจายออกไปหลาย ๆ ส่วน หลาย ๆ ก้อนที่เชื่อมโยงกันเหมือนโซ่ ไม่มีศูนย์กลาง ไม่มีการควบคุมจากกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งคริปโทเคอร์เรนซีก็ถือเป็นเด็กใหม่ในภาคกลุ่มการเงิน โดยนับตั้งแต่ปี 2017 ได้มีการพูดถึงอย่างกว้างขว้างถึงการเติบโตของสกุลเงินนี้ ผู้คนนับล้านได้เข้าสู่วงการคริปโทเคอร์เรนซี อีกทั้งปัญญาประดิษฐ์ก็มีศักยภาพอย่างมากที่จะส่งผลกระทบต่อการลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีในหลากหลายด้านอย่างมีนัยสำคัญ ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีมีความผันผวนและเพื่อที่จะต่อสู้กับความผันผวนของมูลค่าคริปโทเคอร์เรนซี นักพัฒนาจึงได้สร้างแบบจำลองจากเครือข่ายประสาทประดิษฐ์ (Neural Network) ไว้รองรับ โดยที่มีความแม่นยำมากขึ้นในการคาดการณ์ พวกมันสามารถวิเคราะห์อัตราแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซีที่มีอยู่ เพื่อคาดการณ์สถานการณ์ของตลาดได้เป็นรายนาที โดยความสำคัญของการคาดการณ์ขึ้นอยู่กับพลังการคำนวณของคอมพิวเตอร์ ความซับซ้อนของแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่ใช้ และสิ่งสุดท้ายที่ขาดไม่ได้ คือ คุณภาพกับปริมาณของข้อมูลที่วิเคราะห์ การเทรดด้วยความถี่สูง (High Frequency Trading) ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ในวงการคริปโทเคอร์เรนซี ทำให้ปัญญาประดิษฐ์สามารถที่จะเป็นตัวเปลี่ยนเกมได้ การเทรดด้วยความถี่สูง เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ตัวบ่งชี้ทางเทคนิคเฉพาะบนแพลตฟอร์มการซื้อขายแลกเปลี่ยนที่หลากหลาย โดยเป้าหมายหลักคือการตอบสนองต่อการซื้อขายที่เร็วขึ้นและใช้ประโยชน์จากการพุ่งขึ้นของราคาได้อย่างมีนัยสำคัญ การเทรดด้วยความถี่สูงนี้ใช้พลังของปัญญาประดิษฐ์ในการวิเคราะห์สัญญาณทางเทคนิคในหลาย ๆ ตลาดพร้อมกัน และดำเนินการส่งคำสั่งซื้อขายในตลาดหุ้น และตลาดแลกเปลี่ยนต่าง ๆ เพื่อตอบสนองต่อการซื้อขายที่เคลื่อนไหวได้อย่างสอดคล้องและราบรื่นโดยอัตโนมัติ ทำให้มีคำสั่งซื้อขายจำนวนมากภายในไม่กี่วินาที ตัวอย่างเช่น ปัญญาประดิษฐ์ ได้ทำการซื้อแล้วขายหุ้นตัวเดียวกันในราคาเดียวกันซ้ำ ๆ หลาย ๆ รอบ เพื่อเป็นการหยั่งเชิงล่อให้นักลงทุนรายอื่นมาเล่นตาม หากมีแรงซื้อเข้ามาก็จะดันขึ้นไปสัก 2-3 ช่องแล้วขายทำกำไร และจะมีพฤติกรรมลักษณะดังกล่าวนี้อีกหลายรอบซึ่งไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำได้ การใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการเทรดนั้นนักลงทุนสามารถเลือกได้ว่าต้องการให้ซอฟต์แวร์ใช้พารามิเตอร์แบบไหนในการตัดสินใจดำเนินการ การวิเคราะห์ความรู้สึก (Sentiment Analysis) หรือที่ เรียกกันว่า การขุดคุ้ยค้นหาความคิดเห็น (Opinion Mining) นั้นเป็นศาสตร์ย่อยศาสตร์หนึ่งของการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing) ซึ่งกระบวนการนี้จะพยายามระบุและสกัดเอาความคิดเห็นออกมาจากข้อความที่กำหนด รวมไปถึง การวิเคราะห์ข้อมูลจากบล็อก บทความ โซเชียลมีเดีย กระดานข้อความที่เกี่ยวกับหุ้น กระแสข่าวในสังคม การถอดเสียงวิดีโอ และแหล่งข้อมูลอื่น ๆ อีกมากมายเพื่อทำความเข้าใจกับความรู้สึกของตลาดในหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง ณ ขณะนั้น เพราะอารมณ์ความรู้สึกอาจเป็นแต้มต่อที่มีผลมากที่สุดสำหรับนักลงทุน อิทธิพลของมันที่มีต่อการตัดสินใจลงทุนนั้นเป็นเรื่องที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ Machine Learning และปัญญาประดิษฐ์นั้นสามารถช่วยวิเคราะห์ข้อความตัวอักษรจากหลายแหล่งเพื่อสกัดหาและตรวจจับอารมณ์ความรู้สึกของตลาดได้อย่างละเอียดแม่นยำ สิ่งนี้จะช่วยให้การลงทุนของเรามีกำไรได้ หุ้นและคริปโทเคอร์เรนซีมีความคล้ายคลึงกันในหลาย ๆ ด้าน หนึ่งในความคล้ายคลึงกันนั้นก็คือ การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเพื่อตัดสินใจซื้อขาย รวมถึงการประเมินมูลค่าเหรียญก็ต้องใช้การวัดปัจจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณเช่นกัน โดยปัญญาประดิษฐ์นั้นสามารถวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานได้รวดเร็วแม่นยำกว่ามนุษย์ อีกทั้งปัญญาประดิษฐ์ยังสามารถค้นหารูปแบบ (pattern) ที่เป็นตัวชี้นำราคาหุ้นในอนาคตได้อีกด้วย วิธีนี้ช่วยลดอคติที่มนุษย์อาจมีเมื่อทำการวิเคราะห์หลักทรัพย์ต่าง ๆ ความคิดเห็นในช่วงท้าย เพื่อให้ได้เปรียบในการแข่งขัน นักลงทุนได้นำเทคโนโลยีล่าสุดมาประยุกต์ใช้ และปัญญาประดิษฐ์ก็เป็นหนึ่งในนั้น ในขณะที่มีวิธีอื่น ๆ ที่สามารถช่วยให้นักลงทุนทั่วไปวิเคราะห์ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีได้ อย่างไรก็ตามยังต้องมีการใช้พลังของปัญญาประดิษฐ์ที่เปรียบเสมือนไฟส่องสว่างในทางที่มืดมนในตลาดเหล่านี้จนทำให้มีกำไรขึ้นได้ แม้จะมีประโยชน์ของการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการวิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ ในตลาด แต่ก็เป็นสิ่งสำคัญ ที่จะต้องเข้าใจว่าปัญญาประดิษฐ์ไม่ใช่สิ่งมหัศจรรย์และมันก็ไม่ได้คาดการณ์ถูกต้องเสมอไปทุกครั้ง ปัญญาประดิษฐ์อาจเป็นเครื่องมือที่ล้ำค่าสำหรับการวิเคราะห์และการลงทุน แต่ท้ายสุดปัญญาประดิษฐ์ก็เป็นเพียงแค่เครื่องมือชิ้นหนึ่งในกล่องที่มีเครื่องมือที่หลากหลายสำหรับการลงทุนและการซื้อขายโดยทั่วไปก็เท่านั้นเอง ที่มา https://medium.com/the-capital/ai-technology-revolutionizes-cryptocurrency-trading-e52a12dffd47 https://hackernoon.com/ai-and-cryptocurrency-interactions-you-may-not-know-about-r51431o1
5 May 2021
PDPA Icon

We use cookies to optimize your browsing experience and improve our website’s performance. Learn more at our Privacy Policy and adjust your cookie settings at Settings

Privacy Preferences

You can choose your cookie settings by turning on/off each type of cookie as needed, except for necessary cookies.

Accept all
Manage Consent Preferences
  • Strictly Necessary Cookies
    Always Active

    This type of cookie is essential for providing services on the website of the Personal Data Protection Committee Office, allowing you to access various parts of the site. It also helps remember information you have previously provided through the website. Disabling this type of cookie will result in your inability to use key services of the Personal Data Protection Committee Office that require cookies to function.
    Cookies Details

  • Performance Cookies

    This type of cookie helps the Big Data Institute (Public Organization) understand user interactions with its website services, including which pages or areas of the site are most popular, as well as analyze other related data. The Big Data Institute (Public Organization) also uses this information to improve website performance and gain a better understanding of user behavior. Although the data collected by these cookies is non-identifiable and used solely for statistical analysis, disabling them will prevent the Big Data Institute (Public Organization) from knowing the number of website visitors and from evaluating the quality of its services.

  • Functional Cookies

    This type of cookie enables the Big Data Institute (Public Organization)’s website to remember the choices you have made and deliver enhanced features and content tailored to your usage. For example, it can remember your username or changes you have made to font sizes or other customizable settings on the page. Disabling these cookies may result in the website not functioning properly.

  • Targeting Cookies

    "This type of cookie helps the Big Data Institute (Public Organization) understand user interactions with its website services, including which pages or areas of the site are most popular, as well as analyze other related data. The Big Data Institute (Public Organization) also uses this information to improve website performance and gain a better understanding of user behavior. Although the data collected by these cookies is non-identifiable and used solely for statistical analysis, disabling them will prevent the Big Data Institute (Public Organization) from knowing the number of website visitors and from evaluating the quality of its services.

Save settings
This site is registered on wpml.org as a development site. Switch to a production site key to remove this banner.