Generative AI

Generative AI

ข่าวและบทความที่เกี่ยวข้อง

Related news and articles

PostType Filter En

บทความ

Mixture-of-Experts (MoE): ขยายพลัง LLM แบบฉลาดและคุ้มค่า  
ตลอดไม่กี่ปีที่ผ่านมา โลกของปัญญาประดิษฐ์ได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในด้านของโมเดลภาษา (Large Language Models – LLMs) ที่มีทั้งขนาดของโมเดลและปริมาณข้อมูลในการฝึกสอนเพิ่มขึ้นอย่างมาก การเติบโตนี้ทำให้โมเดลมีความสามารถมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยต้นทุนด้านการประมวลผลที่สูงขึ้นตามไปด้วย  หนึ่งในแนวทางที่ช่วยให้โมเดลมีความสามารถสูงขึ้นโดยไม่สูญเสียประสิทธิภาพคือแนวคิด Mixture-of-Experts (MoE) ซึ่งเป็นวิธีการแบ่งโมเดลออกเป็นกลุ่มของ “ผู้เชี่ยวชาญ” (experts) หลายตัว และมี “ตัวเลือก” (router) คอยตัดสินใจว่าในแต่ละรอบการประมวลผลจะใช้ผู้เชี่ยวชาญตัวใดบ้าง วิธีนี้ช่วยให้ระบบทำงานได้รวดเร็วขึ้น ใช้พลังคำนวณอย่างคุ้มค่า และยังคงให้ผลลัพธ์ที่มีคุณภาพสูง  Mixture‑of‑Experts คืออะไร?  Mixture-of-Experts (MoE) คือสถาปัตยกรรมของระบบประสาทเทียมที่ประกอบด้วย “ผู้เชี่ยวชาญ” (experts) หลายตัว ซึ่งแต่ละตัวมักเป็นเครือข่ายประสาทแบบฟีดฟอร์เวิร์ด (Feed-Forward Neural Network: FFNN) ที่มีความถนัดแตกต่างกัน แนวคิดนี้ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า “เราไม่จำเป็นต้องใช้โมเดลขนาดใหญ่ทั้งหมดทุกครั้งในการประมวลผลข้อมูล” แต่สามารถเลือกใช้เฉพาะผู้เชี่ยวชาญบางส่วนที่เหมาะสมกับข้อมูลนั้นแทนได้  สถาปัตยกรรม MoE มีองค์ประกอบหลักอยู่สองส่วน ได้แก่  ด้วยการเลือกใช้เฉพาะบางส่วนของโมเดลในแต่ละครั้ง ทำให้ MoE สามารถลดการใช้ทรัพยากรในการประมวลผลลงได้อย่างมาก เมื่อเทียบกับโมเดลแบบหนาแน่น (Dense Models) ที่ต้องทำงานทุกส่วนพร้อมกัน ขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญแต่ละตัวก็สามารถเรียนรู้รูปแบบเฉพาะของข้อมูลได้ลึกขึ้น ทำให้โมเดลโดยรวมมีความยืดหยุ่นและฉลาดมากขึ้น  หลักการทำงานและวิวัฒนาการของ MoE  แนวคิดของ Mixture-of-Experts (MoE) ทำงานโดย “กระจายงานให้ผู้เชี่ยวชาญเพียงบางส่วน” สำหรับการประมวลผลข้อมูลแต่ละครั้ง กล่าวคือ เครือข่ายตัวเลือก (router) จะประเมินคะแนนของผู้เชี่ยวชาญแต่ละตัวผ่านฟังก์ชัน softmax จากนั้นจะเลือกผู้เชี่ยวชาญที่มีคะแนนสูงสุดมาทำงานกับอินพุตนั้น วิธีนี้เรียกว่า “conditional computation” ซึ่งช่วยลดภาระในการประมวลผลลงได้มาก เพราะโมเดลไม่จำเป็นต้องเปิดใช้งานพารามิเตอร์ทั้งหมดเหมือนในโมเดลแบบหนาแน่น (dense models)  แนวคิดของ MoE ปรากฏครั้งแรกตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 1990 ในนิพนธ์ชื่อ Adaptive Mixtures of Local Experts และกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งเมื่อ Noam Shazeer และคณะ เสนอแนวคิด Sparsely-Gated MoE ในปี 2017 สำหรับงานจำลองภาษาแบบลำดับ (sequence modeling) โมเดลนี้ใช้ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากในชั้นฟีดฟอร์เวิร์ด (feed-forward layer) แต่เลือกใช้งานเพียงบางส่วนในแต่ละครั้ง ทำให้สามารถเพิ่มจำนวนพารามิเตอร์โดยรวมได้หลายเท่า โดยไม่ต้องเพิ่มภาระการคำนวณตามไปด้วย  จากภาพ แสดงโครงสร้างพื้นฐานของ MoE – Router เลือกผู้เชี่ยวชาญที่เหมาะสมจากหลายโมดูลเพื่อประมวลผลอินพุตอย่างมีประสิทธิภาพ โดย  ข้อดีและความท้าทายของ MoE  การออกแบบของ Mixture-of-Experts (MoE) ที่เปิดใช้งานเฉพาะส่วนของพารามิเตอร์ในแต่ละครั้ง ช่วยให้โมเดลมีจุดเด่นหลายประการ ได้แก่  ความท้าทายของ MoE  แม้ MoE จะมีศักยภาพสูง แต่ก็มีข้อจำกัดและความท้าทายที่ต้องพิจารณา ได้แก่  โมเดลรุ่นใหม่ที่ใช้หลักการ MoE  แนวคิด Mixture-of-Experts (MoE) ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในกลุ่มโมเดลภาษารุ่นใหม่ของปี 2025 ซึ่งหลายค่ายนำสถาปัตยกรรมนี้มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการประมวลผล โดยมีตัวอย่างที่น่าสนใจดังนี้  ตารางสรุปโมเดลที่ใช้ MoE  สรุป  Mixture-of-Experts (MoE) เป็นสถาปัตยกรรมที่ช่วยให้โมเดลภาษาขนาดใหญ่สามารถขยายขนาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยแบ่งโมเดลออกเป็น “ผู้เชี่ยวชาญ” หลายตัว และใช้ “ตัวเลือก” (router) ในการกำหนดเส้นทางของข้อมูลไปยังผู้เชี่ยวชาญที่เหมาะสม แนวทางนี้ช่วยลดภาระการคำนวณ ใช้พลังงานและหน่วยความจำน้อยลง แต่ยังคงเพิ่มขีดความสามารถของโมเดลได้อย่างต่อเนื่อง  แนวคิด MoE ซึ่งเริ่มต้นจากงานวิจัยในช่วงทศวรรษ 1990 ได้รับการพัฒนาจนกลายเป็นเทคโนโลยีสำคัญในโมเดลรุ่นใหม่ของยุคปัจจุบัน เช่น Llama 4, Qwen3, และ GPT-OSS ที่ต่างนำแนวคิดนี้ไปปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และเปิดโอกาสให้ชุมชนผู้พัฒนาสามารถต่อยอดได้อย่างอิสระ  สำหรับประเทศไทย การมีโมเดล โอเพนซอร์สที่ใช้สถาปัตยกรรม MoE จะช่วยให้นักวิจัยและนักพัฒนาสามารถทดลอง สร้างสรรค์ และต่อยอดบริการอัจฉริยะได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มปิดจากต่างประเทศ ความเข้าใจเกี่ยวกับ MoE จึงเป็นรากฐานสำคัญในการก้าวสู่ยุคใหม่ของปัญญาประดิษฐ์ ที่เน้นทั้ง ประสิทธิภาพ การเปิดกว้าง และความยั่งยืนของนวัตกรรม  เอกสารอ้างอิง :  [1] Shazeer et al., 2017, ‘Outrageously Large Neural Networks: The Sparsely-Gated Mixture-of-Experts Layer' (arXiv:1701.06538) https://arxiv.org/abs/1701.06538  [2] Lepikhin et al., 2020, ‘GShard' (arXiv:2006.16668) https://arxiv.org/abs/2006.16668  [3] Fedus et al., 2021, ‘Switch Transformers' (arXiv:2101.03961) https://arxiv.org/abs/2101.03961  [4] Meta Llama 4 บน Azure/Databricks https://azure.microsoft.com/en-us/blog/introducing-the-llama-4-herd-in-azure-ai-foundry-and-azure-databricks/  [5] Cloudflare: ‘Llama 4 is now available on Workers AI' https://blog.cloudflare.com/meta-llama-4-is-now-available-on-workers-ai/  [6] TechCrunch: ‘Meta releases Llama 4' https://techcrunch.com/2025/04/05/meta-releases-llama-4-a-new-crop-of-flagship-ai-models/  [7] Qwen3 GitHub https://github.com/QwenLM/Qwen3  [8] Qwen3 Blog (Qwen) https://qwenlm.github.io/blog/qwen3/  [9] Alibaba Cloud: ‘Qwen3 … Hybrid Reasoning' https://www.alibabacloud.com/blog/alibaba-introduces-qwen3-setting-new-benchmark-in-open-source-ai-with-hybrid-reasoning_602192  [10] OpenAI: ‘Introducing gpt‑oss' https://openai.com/index/introducing-gpt-oss/  [11] GitHub: openai/gpt‑oss https://github.com/openai/gpt-oss [12] Wikipedia. “Mixture of experts: Machine learning technique.” อธิบายว่า MoE ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญหลายชุดและฟังก์ชันเกตสำหรับกำหนดน้ำหนัก. [13] Neptune.ai. “Mixture of Experts LLMs: Key Concepts Explained.” สรุปข้อดีของ MoE เช่น การใช้ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนต่ออินพุต การแบ่งภาระ และประสิทธิภาพการฝึก. [14] Neptune.ai. “Mixture of Experts LLMs: Key Concepts Explained.” อธิบายว่าผู้เชี่ยวชาญถูกจัดเป็น sub-networks ที่เปิดใช้งานตามอินพุตและสามารถกระจายไปยังอุปกรณ์หลายตัวได้. [15] Du et al. “GLaM: Efficient Scaling of Language Models with Mixture-of-Experts.” รายงานว่า GLaM มี 1.2 ล้านล้านพารามิเตอร์ ใช้สถาปัตยกรรม MoE และใช้พลังงานเพียงหนึ่งในสามของ GPT‑3. [16] Meta. “Llama 4: Leading intelligence.” หน้าเว็บทางการระบุว่า Llama 4 ใช้สถาปัตยกรรม multimodal และ mixture-of-experts พร้อม context window ขนาดใหญ่. [17] Meta. “Build with Llama 4.” หน้าเว็บแสดงคุณลักษณะของรุ่นย่อยเช่น Llama 4 Scout ที่รองรับ multimodal และ context window ยาว 10M tokens. [18] HuggingFace model card. “Qwen3-235B-A22B-Thinking-2507.” ระบุว่ามีพารามิเตอร์รวม 235B และเปิดใช้งาน 22B ต่อ token บ่งบอกการใช้ MoE. [19] GPT-Oss.ai. “GPT-Oss MoE Architecture.” อธิบายว่า GPT‑Oss ใช้ผู้เชี่ยวชาญ 128 ชุดและ Top‑4 routing มีพารามิเตอร์ sparse 11.6B ใช้งานจริง 510M. 
22 October 2025

บทความ

สายมูยุค AI: เคล็ดลับเขียน Prompt พิมพ์คำสั่งอย่างไรให้ได้คำทำนายที่ตรงจุด 
ในยุคที่เทคโนโลยี AI ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว หลายคนเริ่มนำ AI มาใช้ในหลากหลายด้าน จากบทความที่แล้ว “AI ทำนายทายทัก: การประยุกต์ใช้ Big Data และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการพยากรณ์อนาคต” หนึ่งในนั้นคือ “การดูดวง” มาบทความนี้ เราจะมาเรียนรู้ข้อแนะนำเบื้องต้นในการเขียนคำสั่ง (prompt) ให้ Generative AI หรือที่เราเรียกกันย่อ ๆ ว่า Gen AI ช่วยวิเคราะห์จากข้อมูลพื้นฐาน พร้อมข้อควรระวัง ในการใช้ prompt สำหรับงานดูดวงด้วย AI โดยอ้างอิงแหล่งต่าง ๆ ที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้คุณสามารถเริ่มต้นใช้งานได้อย่างมั่นใจ เพราะหาก prompt คลุมเครือหรือไม่มีโครงสร้างชัดเจน ผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่ถูกใจหรือไม่สมเหตุสมผล  ก่อนอื่นขออธิบายความหมายของ Prompt ก่อน Prompt คือ คำสั่งหรือข้อความที่ผู้ใช้ป้อนเข้าไปให้ Gen AI เพื่อให้ AI สร้างผลลัพธ์ตามที่เราต้องการ Prompt ที่ดีจะช่วยให้ AI ตีความความต้องการของเราได้แม่นยำและตรงจุดมากขึ้น โดยทั่วไปแล้ว โครงสร้าง Prompt ที่ดีมักประกอบด้วยองค์ประกอบต่าง ๆ ดังนี้  การใส่องค์ประกอบเหล่านี้ช่วยลดความกำกวมของ prompt และช่วยให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับสิ่งที่เราต้องการมากที่สุด นอกจากนี้ยังมีเทคนิคอื่น ๆ ที่ช่วยให้ผลลัพธ์ดีขึ้น ดังนี้  1. การระบุศาสตร์การดูดวง โลกของการดูดวงมีหลายศาสตร์ เช่น ไพ่ทาโรต์ โหราศาสตร์ไทย โหราศาสตรจีน  ถ้า prompt ระบุล่วงหน้าว่า “ใช้โหราศาสตร์ไทย” หรือ “วิเคราะห์โดยใช้ไพ่ยิปซี” จะช่วยให้ AI เลือกวิธีการวิเคราะห์ที่ตรงกับความต้องการของเราได้ดีกว่า  2. การให้ข้อมูลพื้นฐานที่เพียงพอ AI ต้องการข้อมูลเข้า (input) ที่เพียงพอ เช่น วันเดือนปีเกิด เวลาเกิด สถานที่เกิด หรือข้อมูลเสริม เช่น ช่วงเวลาที่สำคัญในชีวิต ถ้าป้อนข้อมูลไม่ครบ หรือคลุมเครือ AI อาจเดาและให้คำตอบผิดพลาด  3. การกำหนดช่วงเวลาทำนาย ระบุว่าอยากทำนายเป็น รายวัน รายเดือน รายปี หรือ 5 ปีข้างหน้า เช่น “ช่วยให้วิเคราะห์ดวงประจำปี 2025”  4. การตั้งข้อจำกัดหรือหลีกเลี่ยงเนื้อหาที่อ่อนไหว เช่น “ไม่ทำนายเรื่องการเมือง” หรือ “ไม่แนะนำการรักษาทางการแพทย์” เพื่อหลีกเลี่ยงการให้คำแนะนำที่ควรได้รับจากผู้เชี่ยวชาญ  5. การแก้ไข prompt (Prompt Iteration) เมื่อ AI ตอบมาแล้ว ถ้าผลลัพธ์ยังไม่ตรงใจ ให้ Prompt ปรับคำสั่งเพิ่มเติม เช่น “ให้เจาะลึกเพิ่มในเรื่องการเงิน” หรือ “ลดการใช้ภาษาพูดแบบอุปมา” นี่คือแนวคิดการแก้ไข prompt ที่มักพูดถึงในคู่มือ Prompting Frameworks  6. การ prompt ให้ Gen AI อธิบายเหตุผล ประกอบคำทำนาย เช่น “นอกจากทำนายแล้ว ช่วยอธิบายที่มาที่ไปของคำทำนายนั้น ๆ ด้วย” จะเพิ่มความโปร่งใส และช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจ logic ที่ AI ใช้  ต่อไป จะเป็นตัวอย่าง Prompt สำหรับดูดวง ที่สามารถนำไปใช้หรือปรับแต่งกับ Gen AI  เช่น ChatGPT เป็นต้น ซึ่งผู้อ่านสามารถปรับแต่งให้สั้น ยาว หรือเพิ่มเงื่อนไขย่อยได้ตามต้องการ  ตัวอย่าง 1 “คุณคือหมอดูโหราศาสตร์ไทยผู้เชี่ยวชาญ ช่วยวิเคราะห์ดวงชะตาของฉันตามวันที่เกิด 15 สิงหาคม 2530 เวลาเกิด 13:45 และสถานที่เกิด กรุงเทพฯ ในปี 2025 โดยแยกคำทำนายสำหรับเรื่องการงาน การเงิน ความรัก สุขภาพ พร้อมคำแนะนำที่เป็นไปได้ได้ 3 ข้อ และอธิบายที่มาของคำทำนายด้วย”  ตัวอย่าง 2 “ใช้ศาสตร์ไพ่ยิปซี ทำนายดวงรายเดือนของฉันสำหรับเดือนหน้า (เดือนมกราคม ปี 2026) โดยให้ผลลัพธ์เป็น 3 เรื่องใหญ่ที่ควรระวัง พร้อมแนวทางแก้ไข และเหตุผลประกอบคำตอบ”  ตัวอย่าง 3 “คุณคือโหราจารย์จีน ช่วยวิเคราะห์ดวงชะตาตามปีนักษัตร ฉันเกิดปีมะเส็ง 2532 ช่วงชีวิตปีหน้า (2569) ให้คำทำนายในเรื่องการงาน-โชคลาภ-สุขภาพ พร้อมเลขมงคลและสีมงคลที่ควรใช้”  โดยสรุปข้อแนะนำเบื้องต้นการเขียน Prompt สำหรับการดูดวงด้วย Gen AI คือ ควร prompt ตามโครงสร้าง prompt ที่ดี ได้แก่ งานที่อยากให้ AI ทำ (Task) ข้อมูลพื้นฐาน (Background) บทบาทของ AI (Role) รูปแบบผลลัพธ์ที่ต้องการ (Format) และข้อจำกัดเพิ่มเติม (Constraints) เพื่อช่วยให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับที่เราคาดหวัง นอกจากนี้การแก้ไข prompt (Prompt Iteration) หลังจากได้รับผลลัพธ์แล้วเป็นสิ่งสำคัญ เพิ่มให้ได้คำทำนายตรงความต้องการมากยิ่งขึ้น สุดท้ายนี้ การดูดวง ไม่ว่าจะเป็นดูกับหมอดูหรือกับ Gen AI เราควรมีวิจารณญาณ ไม่ยึดคำทำนายเป็นความจริง และไม่ใช้ AI แทนคำปรึกษาวิชาชีพ  แหล่งอ้างอิง 
20 October 2025

บทความ

BDI จับมือ depa เปิดหลักสูตรเข้ม ยกระดับเทคนิค AI และ Big Data ขับเคลื่อนเมืองอัจฉริยะ
ระหว่างวันที่ 14 – 22 สิงหาคม 2568, กรุงเทพฯ – สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI ร่วมกับ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) จัดอบรม “Smart City Skill Lab: AI & Big Data in Practice ยกระดับเทคนิคการใช้ AI และ Big Data สำหรับเมืองอัจฉริยะ” เพื่อเสริมสร้างศักยภาพบุคลากรภาครัฐและท้องถิ่น ในการประยุกต์ใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีด้าน Generative AI เพื่องานแผนพัฒนาและบริหารจัดการข้อมูลเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์การเปลี่ยนผ่านสู่ประเทศไทยในยุค Smart Nation หลักสูตรนี้ออกแบบให้ทันสมัยและสอดคล้องกับความต้องการของหน่วยงานต่างๆ ในยุคดิจิทัล โดยบูรณาการองค์ความรู้ด้าน Big Data และ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ควบคู่กับหลักธรรมาภิบาลข้อมูล และการใช้ Generative AI ภายใต้แนวคิด Security- และ Privacy-by-Design เพื่อให้ผู้เข้าอบรมสามารถจัดการข้อมูลและนำไปประยุกต์ใช้ในเชิงปฏิบัติได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ พร้อมปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (PDPA) อย่างเคร่งครัด การอบรมเริ่มด้วยการบรรยายผ่านระบบออนไลน์ โดย ดร.ภาสกร ประถมบุตร ผู้เชี่ยวชาญพิเศษจาก depa ถ่ายทอดแนวคิด Smart City Fundamentals ครอบคลุม 7 มิติหลัก ได้แก่ Living, People, Economy, Mobility, Environment, Energy และ Governance พร้อมแนวทางการใช้ Digital Twin เพื่อจำลองสถานการณ์และสนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบายอย่างแม่นยำ จากนั้น รศ. ดร.ธีรณี อัจฉลากุล ผู้อำนวยการ BDI บรรยายหัวข้อ Big Data & AI ฉบับง่าย อธิบายถึงความสำคัญของการพัฒนา Big Data และ AI ควบคู่กันทั้งในเชิงเทคนิคและการประยุกต์ใช้ พร้อมแนะนำแพลตฟอร์ม Data Integration and Intelligence (D2) ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงและวิเคราะห์ข้อมูลระดับชาติของ BDI และสะท้อนบทบาทของ แผนแม่บท AI แห่งชาติ ในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ผู้เข้าอบรมยังได้เรียนรู้ Case Studies: City Data Platforms จากเมืองต้นแบบทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงเนื้อหา กฎหมาย PDPA และ Cybersecurity จาก จากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อทำความเข้าใจสิทธิพื้นฐานตามกฎหมาย หลักการ Legal Basis และแนวคิด Zero-Trust ที่ช่วยยกระดับการบริหารจัดการข้อมูลอย่างรัดกุม       เนื้อหาการอบรมยังครอบคลุมการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นฐาน (Basic Analytics for Smart City) และการสื่อสารข้อมูลอย่างเข้าใจง่ายด้วยเทคนิค Data Visualization ควบคู่ไปกับการทำความเข้าใจ Data Lake vs Data Warehouse และการเชื่อมโยงข้อมูลผ่าน API เพื่อเพิ่มศักยภาพการบูรณาการข้อมูล ปิดท้ายด้วยการเรียนรู้เครื่องมือ Generative AI และเทคนิค Prompt Engineering สำหรับการวางแผนงานด้านสถาปัตยกรรมระบบแพลตฟอร์มข้อมูลเมือง หรือ City Data Platform และการตัดสินใจเชิงนโยบายอย่างแม่นยำ เพื่อสร้างประสบการณ์จริง ผู้เข้าอบรมยังได้ร่วมศึกษาดูงาน ในพื้นที่จริง อาทิ AIS Data Center ในชื่อโครงการ TELLUS2 ศูนย์ข้อมูลที่ได้มาตรฐานสากล ISO27001 และเป็น Hyperscale Cloud รายแรกของไทย ต่อด้วยการทำงานของ Smart City ของทางกรุงเทพมหานคร ผ่านแพลตฟอร์มบริหารจราจรแบบเรียลไทม์ ที่ร่วมมือกับทาง Google ในโครงการ Green Light รวมถึงแผนงานการพัฒนาเมืองอัจฉริยะกรุงเทพมหานคร พร้อมกับฟังคำบรรยายกรณีศึกษาของ SCB DataX ที่นำเสนอแนวทางการใช้ Big Data และ AI ในภาคการเงินเพื่อยกระดับการบริการและการบริหารความเสี่ยง ในช่วง เวิร์กช็อปภาคปฏิบัติ ผู้เข้าอบรมได้ฝึกออกแบบและจำลอง City Data Platform พร้อมเรียนรู้เทคนิค Prompt Engineering สำหรับการสร้าง Data Pipeline และ Data Architecture Layout ฝึกการประเมินความเสี่ยงด้านข้อมูล (Data Due Diligence) และการทำ Data-Flow Mapping และ Architecture Prototyping รวมถึงการสร้างแดชบอร์ดด้วยเครื่องมือ Low-Code/No-Code เช่น Google Looker Studio เพื่อสื่อสารข้อมูลเชิงวิเคราะห์อย่างเข้าใจง่าย หลักสูตรปิดท้ายด้วยกิจกรรม Prototype & Pitch ให้ผู้เข้าอบรมพัฒนาโครงการต้นแบบพร้อมนำเสนอแนวคิดและแผนปฏิบัติต่อคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ พร้อมรับมอบเกียรติบัตรรับรองการผ่านการอบรม ตลอดหลักสูตร ผู้เข้าอบรม ซึ่งประกอบด้วยผู้บริหาร นักวางแผน เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ และบุคลากรด้านข้อมูล ได้รับประสบการณ์เรียนรู้ทั้งเชิงทฤษฎีและปฏิบัติที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการพัฒนาเมืองในบริบทของตนเอง อาทิ การเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน การบริหารจัดการข้อมูลตามมาตรฐานสากล และการใช้ข้อมูลเพื่อวิเคราะห์ปัญหาและวางแผนเชิงรุก ซึ่งจะช่วยให้การบริหารจัดการเมืองมีความยืดหยุ่น คล่องตัว และตอบสนองต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความร่วมมือระหว่าง BDI และ depa ในการจัดทำหลักสูตรนี้ ไม่เพียงมุ่งเน้นการถ่ายทอดความรู้ แต่ยังสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และองค์ความรู้ที่สามารถนำไปขยายผลสู่การพัฒนาเมืองอัจฉริยะอย่างยั่งยืนในอนาคต หลักสูตร “ยกระดับเทคนิคการใช้ AI และ Big Data สำหรับเมืองอัจฉริยะ” ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการเตรียมความพร้อมบุคลากรไทยให้พร้อมก้าวสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ และใช้ข้อมูลเป็นพลังขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง  สำหรับท่านใดที่พลาดโอกาสและสนใจสมัคร สามารถรอรับข่าวสารของการเปิดรุ่นที่ 2 ผ่าน facebook fanpage BDI และ depa
22 August 2025

บทความ

BDI ขับเคลื่อนอุดมศึกษายุคดิจิทัล ด้วย Big Data และ AI ขานรับแผนชาติพัฒนา AI User ไม่น้อยกว่า 10 ล้านคน ภายใน 2 ปี
21 สิงหาคม 2568, กรุงเทพฯ – รศ. ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (BDI) ร่วมบรรยายในหัวข้อ “การขับเคลื่อนการวางแผนอุดมศึกษาด้วยข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data)” ในงานสัมมนาและแลกเปลี่ยนเรียนรู้เครือข่ายการวางแผนอุดมศึกษา ประจำปี 2568 ณ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ โดยเน้นย้ำถึงบทบาทของ Big Data และ AI ในการยกระดับคุณภาพการบริหารจัดการด้านอุดมศึกษา ตั้งแต่การวางแผนกลยุทธ์, การบริหารข้อมูล, ไปจนถึง การพัฒนาหลักสูตร ให้ตอบโจทย์ตลาดแรงงานยุคใหม่ พร้อมชี้ให้เห็นว่า ข้อมูล จะเป็นหัวใจสำคัญในการตัดสินใจของสถาบันการศึกษาและหน่วยงานภาครัฐ รศ. ดร.ธีรณี กล่าวถึงความสำคัญระหว่าง AI และ Generative AI เพื่อเปลี่ยนอนาคตการศึกษา เช่น การใช้ AI จดจำใบหน้า เพื่อยืนยันตัวตนและเพิ่มความปลอดภัยในสถาบันการศึกษา ส่วน Generative AI จะมีบทบาทสำคัญในชั้นเรียน ช่วยสร้างเนื้อหา, เขียนโค้ด, วิเคราะห์ข้อมูล และสร้างแดชบอร์ดได้รวดเร็ว มหาวิทยาลัยควรสนับสนุนให้นักศึกษาเรียนรู้การใช้ AI อย่างถูกต้อง แทนการห้ามใช้งาน นอกจากนี้ ควรใช้ Agentic AI เพื่อการทำงานร่วมกันของ AI หลายระบบ จะช่วยลดขั้นตอนที่ซ้ำซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เช่น การสรรหาบุคลากร สามารถใช้ AI บริหารตั้งแต่เปิดรับสมัคร คัดกรอง ไปจนถึงการนัดสัมภาษณ์โดยอัตโนมัติ และสิ่งสำคัญที่มหาวิทยาลัยควรมี คือ โครงสร้างการบริหารจัดการข้อมูลที่ชัดเจน จัดตั้งคณะกรรมการบริหารธรรมาภิบาลข้อมูล (Data Governance Committee) เพื่อกำหนดบทบาทเจ้าของข้อมูล, สิทธิ์การเข้าถึง และ มาตรฐานข้อมูล เพื่อลดปัญหา Data Silos และสร้างระบบแบ่งปันข้อมูลที่ปลอดภัย เชื่อมโยงข้อมูลจากหลายแหล่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ สุดท้ายมหาวิทยาลัย ต้องเร่งปรับหลักสูตร โดยใช้ Micro-credentials และการเรียนการสอนออนไลน์ เพื่อรองรับความต้องการแรงงานยุคใหม่ เช่นเดียวกับภารกิจของ BDI ที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนพัฒนาทักษะบุคลากรสอดคล้องกับนโยบายระดับชาติ โดยตั้งเป้าพัฒนากำลังคนด้าน AI User ไม่น้อยกว่า 10 ล้านคน ภายใน 2 ปี  
21 August 2025

บทความ

AI Co-worker เพื่อนร่วมงานดิจิทัล: พลิกโฉมกระบวนการทำงานขององค์กรยุคใหม่ 
ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) กำลังกลายเป็นกระแสสำคัญที่พลิกโฉมรูปแบบการทำงานในยุคปัจจุบัน องค์กรทั่วโลกต่างเร่งลงทุนในเทคโนโลยี AI รวมมูลค่านับพันล้านดอลลาร์ โดยในสหรัฐอเมริกา มีถึง 92% ของบริษัทที่วางแผนเพิ่มงบประมาณด้าน AI อย่างไรก็ตาม กลับมีเพียงส่วนน้อยที่เชื่อมั่นว่าบริษัทของตนมีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการนำ AI ไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รายงานวิจัยหลายฉบับประเมินว่า AI จะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจโลกได้สูงถึง 4.4 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 ขณะเดียวกัน World Economic Forum ได้คาดการณ์ว่า Generative AI จะเข้ามามีบทบาทในประมาณ 40% ของชั่วโมงการทำงานทั่วโลก ซึ่งจะส่งผลให้ลักษณะงานของแรงงานจำนวนมากเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก กล่าวได้ว่า AI ในฐานะผู้ช่วยยุคใหม่ กำลังเข้ามาทำงานที่มีลักษณะซ้ำซ้อนแทนมนุษย์ และในขณะเดียวกันยังช่วยเสริมศักยภาพ เพิ่มประสิทธิภาพ และเปิดโอกาสใหม่ในการทำงานอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน  AI ในบทบาทของ “เพื่อนร่วมงานดิจิทัล” กำลังเข้ามาช่วยลดเวลาในการทำงานในแต่ละภารกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ งานวิจัยจากสถาบัน MIT ระบุว่า เครื่องมืออย่าง ChatGPT ช่วยให้พนักงานสามารถเขียนอีเมล เอกสาร และบทวิเคราะห์ได้เร็วขึ้นถึง 40% ขณะเดียวกัน การใช้ AI ในการเขียนโค้ดช่วยลดระยะเวลาในการพัฒนาซอฟต์แวร์ได้ถึง 56% ในแวดวงการแพทย์ ระบบ Generative AI ของ Northwestern Medicine ถูกนำมาใช้ในการร่างรายงานทางรังสีวิทยาโดยอัตโนมัติ เพิ่มประสิทธิภาพได้ 15–40% โดยบางกรณีสามารถช่วยให้รังสีแพทย์ปฏิบัติงานได้เร็วขึ้นเป็นสองเท่า สำหรับภาคบริการ หลายองค์กรเริ่มนำระบบ chatbot มาใช้เพื่อตอบคำถามทั่วไปได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยสามารถจัดการคำถามเบื้องต้นแทนเจ้าหน้าที่ได้ถึง 80% อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง เครื่องมือ AI จึงมีบทบาทสำคัญในฐานะผู้ช่วยด้านการจัดตารางงาน การให้บริการลูกค้า การร่างสัญญา และการวางแผนข้อมูล ส่งผลให้พนักงานมีเวลาไปมุ่งเน้นงานที่สร้างคุณค่าและผลลัพธ์เชิงกลยุทธ์มากยิ่งขึ้น  ปัจจุบันองค์กรต่าง ๆ ได้นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาประยุกต์ใช้ในกระบวนการทำงานในหลายภาคส่วน เพื่อยกระดับประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการดำเนินงาน ตัวอย่างที่ชัดเจน ได้แก่  เครื่องมือ AI เหล่านี้กำลังมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการตัดสินใจขององค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ การสำรวจหนึ่งระบุว่า 80% ของพนักงานที่ใช้ AI เชื่อว่าเครื่องมือดังกล่าวช่วยให้พวกเขาทำงานได้ดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในด้านการขายและการตลาด AI ยังสามารถช่วยปรับแต่งเนื้อหาให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละกลุ่ม และสร้างกลุ่มเป้าหมายใหม่ได้รวดเร็วและแม่นยำ ส่งผลให้ความเร็วในการตัดสินใจและการดำเนินกลยุทธ์ขององค์กรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ข้อมูลจากงานวิจัยระดับโลก  ผลการวิจัยจากหลายแหล่งสะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วของการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รายงานของ McKinsey ในปี 2025 ระบุว่า กว่า 75% ของบริษัททั่วโลกได้เริ่มนำ AI มาใช้ในอย่างน้อยหนึ่งฟังก์ชันขององค์กร และเกือบทุกบริษัทมีแผนจะลงทุนเพิ่มเติมในด้าน AI ขณะที่รายงานของ Thomson Reuters คาดการณ์ว่า ในอนาคตอันใกล้ มากกว่า 50% ของรูปแบบงานจะมีความเกี่ยวข้องกับ AI โดยตรง โมเดลเศรษฐศาสตร์ของ McKinsey ยังประเมินว่า เทคโนโลยี Generative AI เพียงอย่างเดียว อาจสามารถเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ได้ถึง 0.6% ต่อปี ภายในปี 2040  ในด้านมุมมองของแรงงาน รายงานของ OECD พบว่า พนักงาน 4 ใน 5 คนที่ได้ใช้งาน AI ระบุว่าประสิทธิภาพในการทำงานของตนดีขึ้น และ 3 ใน 5 คนรู้สึกว่างานของตนสนุกมากขึ้น การใช้ AI อย่างต่อเนื่องส่งผลให้เกิดความต้องการในการพัฒนาทักษะและฝึกอบรมเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ที่น่าสนใจคือ พนักงานมีแนวโน้มที่จะมองเห็นศักยภาพของ AI มากกว่าผู้บริหารถึง 3 เท่า ขณะเดียวกัน ซีอีโอจำนวนมากยังรับรู้ถึงความเสี่ยงในการสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน หากองค์กรของตนปรับตัวด้าน AI ได้ล่าช้า โดยถึง 32% ของซีอีโอเห็นว่าเรื่องนี้เป็นความเสี่ยงสำคัญที่ต้องเร่งรับมือ  โอกาสและความท้าทายในการใช้งาน AI  แม้ว่าประสิทธิภาพของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง แต่การนำ AI เข้ามาใช้งานในองค์กรยังคงมาพร้อมกับความท้าทายที่ไม่อาจมองข้าม ผู้บริหารบางรายรายงานว่าการเปลี่ยนผ่านสู่นวัตกรรมใหม่ในช่วงเริ่มต้นอาจทำให้กระบวนการทำงานสะดุด เช่น กำลังการผลิตของโรงงานบางแห่งลดลงในระหว่างการปรับปรุงระบบ แม้ AI จะช่วยลดภาระจากงานที่ซ้ำซากและใช้เวลามาก แต่ก็อาจกระทบต่อแรงจูงใจภายในของพนักงานในงานด้านอื่น ๆ ที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และแรงบันดาลใจ นอกจากนี้ พนักงานจำนวนไม่น้อยยังมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบในระยะยาว งานสำรวจของ OECD พบว่า 60% ของผู้ตอบแบบสอบถามกังวลว่า AI อาจเข้ามาแทนที่งานของตนภายใน 10 ปีข้างหน้า และ 40% กังวลว่า AI อาจส่งผลกระทบต่อระดับรายได้หรือความมั่นคงในสายอาชีพของตน  นอกจากผลกระทบด้านแรงงาน ยังมีประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณา เช่น ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัว อคติในอัลกอริทึม และความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ทั้งนี้ รายงานของ McKinsey ระบุว่า พนักงานเกือบครึ่งหนึ่งแสดงความกังวลเกี่ยวกับความแม่นยำและความปลอดภัยของระบบ AI ผู้เชี่ยวชาญจึงเห็นพ้องว่าการกำกับดูแล AI อย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งจำเป็น องค์กรควรแต่งตั้งผู้นำที่ชัดเจนสำหรับการขับเคลื่อนด้าน AI ออกแบบกระบวนการทำงานใหม่อย่างมีระบบ และสร้างความไว้วางใจระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การฝึกอบรมพนักงานให้สามารถใช้ AI อย่างรับผิดชอบ การตรวจสอบความลำเอียงของอัลกอริทึม และการกำหนดบทบาทความรับผิดชอบอย่างชัดเจน ล้วนเป็นกลไกสำคัญที่สนับสนุนการใช้งาน AI อย่างยั่งยืน  ผู้นำหลายภาคส่วนยอมรับว่า แม้งานบางประเภทอาจได้รับผลกระทบจาก AI แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสในการสร้างทักษะใหม่ ๆ ขึ้นมา รายงานของ World Economic Forum (WEF) ชี้ว่า Generative AI มีศักยภาพในการยกระดับคุณภาพของงาน เพิ่มความหมายของการทำงาน และลดภาระจากงานที่น่าเบื่อและซ้ำซาก อย่างไรก็ตาม ผู้กำหนดนโยบายของสหภาพยุโรป (EU) ได้เตือนว่า 23–29% ของงานในปัจจุบันอยู่ในกลุ่มที่มี “ความเสี่ยงสูง” ที่จะถูกแทนที่โดย AI อย่างไรก็ดี งานเหล่านี้อาจไม่หายไปทั้งหมด เพราะ AI อาจเข้ามาเติมเต็มขีดความสามารถของมนุษย์ เปลี่ยนผู้เริ่มต้นให้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ  นักวิจัยส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า องค์กรที่นำ AI มาใช้อย่างจริงจัง ควบคู่กับการลงทุนด้านบุคลากร จริยธรรม และความรับผิดชอบ จะมีความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างยั่งยืน งานวิจัยของ McKinsey ย้ำชัดว่า องค์กรที่มอง AI เป็นเครื่องมือสนับสนุนและเสริมศักยภาพของพนักงาน จะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีผลลัพธ์ชัดเจน และวัดผลตอบแทนจากการลงทุนได้อย่างเป็นรูปธรรม  ดังนั้น ผู้นำที่สามารถสร้างสมดุลระหว่างการนำนวัตกรรมใหม่เข้าสู่องค์กร การวางกรอบกำกับดูแลที่เหมาะสม และการพัฒนาทักษะของพนักงานอย่างต่อเนื่อง คือผู้ที่จะพาองค์กรก้าวไปสู่ความสำเร็จอย่างมั่นคงในยุคแห่ง AI  บทสรุป: ก้าวสู่อนาคตด้วย AI อย่างมีวิสัยทัศน์และความรับผิดชอบ  AI กำลังเปลี่ยนโฉมโลกของการทำงานอย่างรวดเร็วและลึกซึ้ง...
24 June 2025

บทความ

8 เทรนด์แห่งอนาคตสู่การเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจด้วย Generative AI ในปี 2024
Generative AI เป็นเครื่องมืออเนกประสงค์ที่มีประโยชน์ในด้านต่าง ๆ จนอาจจะกลายเป็นเทคโนโลยีที่ใช้งานกันทั่วไป นอกจากนี้ บรรดานักวิจัยยังคาดหวังว่ามันจะกลายเป็นปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถทำงานได้ทุกอย่างเหมือนที่มนุษย์ทำได้ ซึ่งในบทความนี้ จะมาเล่าให้ฟังว่า Generative AI ได้เข้ามามีบทบาทและกลายเป็นเทคโนโลยีที่ใช้กันทั่วไปในส่วนใดบ้าง มาลองดูกัน เริ่มด้วยการสำรวจความคาดหวังของผู้บริหารเกี่ยวกับเทรนด์ Generative AI ในปี 2024 ซึ่งสรุปผลออกมาได้ว่า   ซึ่งในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ เราจะสามารถแจกแจงเทรนด์ต่าง ๆ ของ Generative AIออกมาเป็นรูปร่างดังนี้ นอกเหนือจากสิ่งที่เล่ามาข้างต้น เรามาลองดูกันว่า Generative AI ได้เข้ามามีบทบาทหรือเข้ามาช่วยทำงานในด้านใดบ้าง การสร้างข้อความ รูปภาพ และวิดีโอ Generative AI สามารถสร้างเนื้อหาได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษร รูปภาพ วิดีโอ และเสียง ซึ่งในส่วนของธุรกิจนั้นกำลังมีการสำรวจแอปพลิเคชันต่าง ๆ อย่างจริงจังเพื่อให้ตัวแอปพลิเคชันมีฟังก์ชันเฉพาะตัวและมีคุณสมบัติมากกว่าแอปพลิเคชันทั่ว ๆ ไป โดยแนวโน้มของ Generative AI สำหรับการสร้างข้อความ ได้แก่ ส่วนแนวโน้มของ Generative AI สำหรับการสร้างรูปภาพ จะก้าวไปสู่ความสมจริงมากขึ้นด้วยภาพที่มีความละเอียดสูง ลดข้อแตกต่างระหว่างภาพจริงและภาพสังเคราะห์ซึ่งจะสามารถนำภาพไปใช้ในอุตสาหกรรมบันเทิง และการทำระบบเสมือนจริง (Virtual Reality) ในสมจริงมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับนักออกแบบให้สามารถสร้างผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับการสร้างวิดีโอที่จะทำให้การผลิตวิดีโอมีคุณภาพและตรงกับแต่ละกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้นผ่านการใช้เครื่องมือผลิตวิดีโอด้วย AI รวมถึงสามารถลดเวลาและต้นทุนที่เกี่ยวกับข้องกับการผลิตวิดีโอได้เช่นกัน การสร้างดนตรี Generative AI กำลังเข้ามาปฏิวัติการสร้างดนตรี โดยโมเดลด้าน AI เหล่านี้สามารถเลียนแบบเสียงของมนุษย์และสร้างเพลงได้ ซึ่งสิ่งนี้ได้สร้างความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ให้กับนักดนตรีและนักแต่งเพลง ซึ่งการใช้ AI ไม่ใช่แค่สร้างเพลงใหม่เท่านั้น แต่ AI ยังช่วยกำหนดประสบการณ์ในการฟังเพลงของเราได้ด้วยและในเร็ว ๆ นี้ เราอาจจะมีเพลงประกอบเกมหรือเพลงที่ใช้ในการถ่ายทอดสดที่สามารถปรับปรุงประสบการณ์ภาพและเสียงของเราแบบเรียลไทม์ได้ นอกจากนี้ AI กำลังพยายามเรียนรู้เกี่ยวกับการแสดงออกและอารมณ์ของมนุษย์ผ่านการสังเคราะห์เสียง ซึ่งความก้าวในด้านนี้จะนำไปสู่การแปลแบบเรียลไทม์ และการพากย์เสียงแบบอัตโนมัตินั้นเอง เทคโนโลยี NLP และ AI ต่อเนื่องหลายรูปแบบ Generative AI เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) โดย AI จะเข้าใจข้อความ คำพูด และความรู้สึกได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ซึ่งความก้าวหน้าในครั้งนี้เป็นหัวใจสำคัญของการโต้ตอบเหมือนมนุษย์ตามที่เห็นได้จากผู้ช่วยเสียง (Voice Assistants) และแชทบอทของบริษัทต่าง ๆ ที่สามารถโต้ตอบกับผู้ใช้ได้อย่างเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น โดยทั่วไปตัวโมเดลจะประมวลผลจากข้อมูลรูปแบบเดียวซึ่งจะมีข้อมูลเชิงลึกที่จำกัด ในลำดับถัดมาได้มีการเรียนรู้เชิงลึกแบบหลายรูปแบบช่วยให้โมเดลสามารถแยกแยะความสัมพันธ์ของข้อมูลรูปแบบต่าง ๆ ได้ เช่น สามารถแปลงข้อความให้เป็นรูปภาพ รูปภาพเป็นวิดีโอ และอื่น ๆ โดยจะเห็นว่าการรวมเทคโนโลยีเข้าด้วยกันทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในสาขาที่ซับซ้อน เช่น ทางการแพทย์ โดยในด้านของการดูแลสุขภาพ AI จะรวบรวมข้อมูลที่เป็นข้อความและภาพเพื่อช่วยในการประเมินที่แม่นยำมากยิ่งขึ้น แชทบอทที่ขับเคลื่อนด้วย Generative AI Generative AI ได้เข้ามาปรับปรุงความสามารถในการสนทนา ผ่านการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องจากการโต้ตอบกับผู้ใช้ ซึ่งการเรียนรู้แบบนี้จะช่วยทำให้เข้าใจความต้องการของผู้ใช้มากยิ่งขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป รวมถึงยังสามารถตรวจจับและตอบสนองต่ออารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ได้มากขึ้นเช่นกัน ซึ่งตัวอย่างของแชทบอทที่ปล่อยออกมาในท้องตลาดของไทยในปัจจุบัน คือ Alisa AI เป็นต้น แนวโน้มของ Generative AI ในด้านอุตสาหกรรม ด้านการค้าปลีกและอีคอมเมิร์ซ การค้าปลีกและอีคอมเมิร์ซได้มีการใช้งานแอปพลิเคชันที่ขับเคลื่อนด้วย Generative AI เพิ่มมากขึ้น นวัตกรรมนี้ได้เปลี่ยนแปลงประสบการณ์ของลูกค้าและกลยุทธ์การดำเนินงานต่าง ๆ ซึ่งเทรนของ Generative AI ในปัจจุบันและในอนาคต ประกอบไปด้วย ในด้านของความคาดหวังของผู้บริหารต่อการค้าปลีกคือ สามารถนำมาวิเคราะห์ข้อมูลของลูกค้า, จัดการสินค้าในคลัง และมุ่งเน้นไปที่การสร้างเนื้อหาต่าง ๆ เพื่อยกระดับในการสื่อสารและการตลาด โดยตัวอย่างของการนำ AI มาใช้ด้านการค้าปลีกและอีคอมเมิร์ซ ได้แก่ Shopify Sidekick บอทที่ช่วยจัดการร้านค้าออนไลน์, Stitch Fix ทำโฆษณาผ่านการใช้ AI, BloomsyBox อีคอมเมิร์ซแชทบอท, เครื่องมือที่ใช้ในการแนะนำของ Amazon, การลองสินค้าเสมือนจริงผ่านแชทบอทของ Google Walmart, ผู้ช่วยช้อปปิ้งเสมือนจริงของ Mercari ด้านการดูแลสุขภาพ การดูแลสุขภาพถือเป็นด้านหนึ่งที่มีการใช้นวัตกรรมด้าน AI โดยส่วนที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุด ได้แก่ การพัฒนายา, การติดตามผู้ป่วย และการแพทย์ทางไกล ซึ่งแนวโน้มด้านการดูแลสุขภาพผ่านการใช้ Generative AI ได้แก่ ความคาดหวังของผู้บริหารในส่วนของการดูแลสุขภาพคือ ใช้สำหรับตรวจสอบข้อมูลเวชระเบียน, นำมาสร้างแชทบอททางการแพทย์ และนำมาใช้ในแอปพลิเคชันเพื่อประมวลผลภาพสำหรับการผ่าตัด โดยตัวอย่างของการนำ AI มาใช้ ได้แก่ การทดลองพัฒนายาผ่านการใช้ Generative AI ของ Insilico Medicine, แพลตฟอร์ม AI เพื่อสุขภาพสมองของ DiagnaMed, แบบจำลองของ Absci สำหรับออกแบบแอนติบอดี้ บริการทางการเงินและการธนาคาร บริการทางการเงินและการธนาคารกำลังอยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลงผ่านการใช้ AI ไม่ว่าจะเป็นการตรวจจับการฉ้อโกง การจัดการความเสี่ยง และระบบอัตโนมัติในการบริการลูกค้า โดยแนวโน้มตลาดด้านอุตสาหกรรมการเงิน ได้แก่ ตัวอย่างของงานที่ใช้ Generative AI ได้แก่ แชทบอทของ Morgan Stanley สำหรับให้คำปรึกษาทางการเงิน, IndexGPT ของ JPMorgan Chase เพื่อช่วยตัดสินใจด้านการลงทุน บทสรุป จากสิ่งที่เล่ามาทั้งหมด Generative AI ถือเป็นนวัตกรรมที่อยู่ในระดับแนวหน้าซึ่งมีแนวโน้มที่จะพัฒนาไปอีกไกลในอนาคต ทั้งภายในองค์กรเองและใช้ในการโต้ตอบกับผู้ใช้งาน แต่ในอีกมุมมองหนึ่ง เราควรคำนึงถึงจริยธรรมในการประยุกต์ใช้ Generative AI ด้วย โดยหันมาสนใจด้านการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาไม่ว่าจะเป็นสิทธิบัตรหรือการจดลิขสิทธิ์ให้กับสิ่งที่สร้างจาก AI นอกจากนี้ควรคำนึงถึงความโปร่งใสเพื่อไม่ให้มีการปลอมแปลงข้อมูลเชิงลึก และการปกป้องความเป็นส่วนตัวต่อการพัฒนา AI เพื่อให้มีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น แหล่งที่มา เนื้อหาโดย จุฑาภรณ์ วิภัชภาคไพบูลย์ ตรวจทานและปรับปรุงโดย นนทวิทย์ ชีวเรืองโรจน์
20 December 2023
PDPA Icon

We use cookies to optimize your browsing experience and improve our website’s performance. Learn more at our Privacy Policy and adjust your cookie settings at Settings

Privacy Preferences

You can choose your cookie settings by turning on/off each type of cookie as needed, except for necessary cookies.

Accept all
Manage Consent Preferences
  • Strictly Necessary Cookies
    Always Active

    This type of cookie is essential for providing services on the website of the Personal Data Protection Committee Office, allowing you to access various parts of the site. It also helps remember information you have previously provided through the website. Disabling this type of cookie will result in your inability to use key services of the Personal Data Protection Committee Office that require cookies to function.
    Cookies Details

  • Performance Cookies

    This type of cookie helps the Big Data Institute (Public Organization) understand user interactions with its website services, including which pages or areas of the site are most popular, as well as analyze other related data. The Big Data Institute (Public Organization) also uses this information to improve website performance and gain a better understanding of user behavior. Although the data collected by these cookies is non-identifiable and used solely for statistical analysis, disabling them will prevent the Big Data Institute (Public Organization) from knowing the number of website visitors and from evaluating the quality of its services.

  • Functional Cookies

    This type of cookie enables the Big Data Institute (Public Organization)’s website to remember the choices you have made and deliver enhanced features and content tailored to your usage. For example, it can remember your username or changes you have made to font sizes or other customizable settings on the page. Disabling these cookies may result in the website not functioning properly.

  • Targeting Cookies

    "This type of cookie helps the Big Data Institute (Public Organization) understand user interactions with its website services, including which pages or areas of the site are most popular, as well as analyze other related data. The Big Data Institute (Public Organization) also uses this information to improve website performance and gain a better understanding of user behavior. Although the data collected by these cookies is non-identifiable and used solely for statistical analysis, disabling them will prevent the Big Data Institute (Public Organization) from knowing the number of website visitors and from evaluating the quality of its services.

Save settings