Nontawit Cheewaruangroj, PhD

Nontawit Cheewaruangroj, PhD

บทความของผู้เขียน

Articles

Author Category Post Filter
รู้จักกับ RFM Analysis เทคนิคการแบ่งกลุ่มลูกค้าเพื่อวางกลยุทธ์การตลาด พร้อมวิธีทำใน 3 ขั้นตอน
มาทำความรู้จักกับการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเพื่อจำแนกกลุ่มลูกค้า โดยวิธีการไม่ซับซ้อนที่เรียกกันว่า RFM Analysis
5 September 2023
Data Tax เมื่อข้อมูลมีมูลค่าเหมือนสินทรัพย์ แล้วต่อไปจะโดนเก็บภาษีไหม?
เมื่อข้อมูลมีมูลค่ามหาศาลเฉกเช่นเดียวกับน้ำมันหรือทองคำ มาลองดูกันว่าจะมีการเก็บภาษี Data tax หรือไม่ และจะส่งผลกระทบอะไรกับเรา
30 June 2022
การออกแบบ Data Visualization ให้ Accessible
การทำให้ Data Visualization นั้น Accessible ช่วยให้ผู้รับสารทุกคนสามารถเข้าถึงสิ่งที่เราต้องการจะนำเสนอโดยไม่พลาดอะไรไปเพราะข้อจำกัดต่าง ๆ
22 June 2022
การออกแบบ Data Visualization ให้คนตาบอดสีสามารถเข้าใจได้ด้วย
รู้หรือไม่ว่า ประมาณ 8% ของประชากรชาย และ 0.5% ประชากรหญิงทั่วโลกนั้นมีอาการตาบอดสี แล้วเราจะมีวิธีการอย่างไรให้ Data Visualization ของเราสามารถเข้าใจได้โดยคนกลุ่มนี้? เรามาดูกันครับ
1 July 2021
เลือกแผนภาพอย่างไรสำหรับการทำ Data Visualization
หากเรามีข้อมูลมากมายไปหมด ก็คงจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากในการหา Insight จากข้อมูล รวมถึงการใช้ข้อมูลเพื่ออธิบายให้ผู้อื่นเข้าใจสิ่งที่เราต้องการจะสื่อสาร วิธีการที่ง่ายที่สุดก็คือการทำ Data Visualization – สร้างกราฟหรือแผนภาพจากข้อมูล แต่หลาย ๆ คน อาจจะสงสัยว่าจะเลือกกราฟหรือแผนภาพอย่างไร ให้เหมาะสมกับข้อมูลที่มีและตอบโจทย์ที่เราต้องการ เลือกอย่างไร?             แผนภาพแต่ละประเภทนั้นมีวิธีการใช้ที่แตกต่างกัน เราจึงต้องตอบคำถามเหล่านี้ก่อน 1. Visualization นี้ตอบคำถามอะไร           การทำ Data Visualization ก็เปรียบเสมือนการเล่าเรื่อง (Story Telling) จากข้อมูลที่มีอยู่เพื่อตอบคำถามที่ผู้ชมอาจจะมี แน่นอนว่าถ้าเรื่องราว (Story) หรือ คำถามที่จะตอบแตกต่างกัน ก็จะต้องใช้แผนภาพคนละแบบในการอธิบาย ยกตัวอย่างเช่น หากเราต้องการตอบคำถามว่าผลิตภัณฑ์ประเภทใดที่ขายดีที่สุด ก็ควรจะใช้กราฟที่แสดงยอดขายที่แตกต่างกันของแต่ละประเภทให้เห็นชัดเจน แต่หากเราต้องการทราบว่าเวลาที่ใช้ในการจัดส่งสินค้าเป็นอย่างไร อาจจะต้องแสดงให้เห็นถึงการกระจายตัวของข้อมูลเวลาที่ใช้ในการจัดส่ง 2. ผู้ชม (Audience) เป็นคนประเภทไหน การทำ Data Visualization ให้ผู้ชมที่เป็นกลุ่มผู้บริหารควรมีรูปแบบที่ต่างออกไปจาก Visualization ที่ทำสำหรับผู้ชมกลุ่มผู้ปฏิบัติการ เนื่องด้วยความสนใจที่แตกต่างกันระหว่างคนสองกลุ่ม นอกจากนี้ระดับความเข้าใจของผู้ชมเป้าหมายก็ส่งถึงตัวเลือกรูปแบบในการนำเสนอข้อมูล ตัวอย่างเช่น กราฟที่ดูง่าย ๆ และกระชับ เช่น แผนภูมิวงกลม (Pie Chart) อาจจะเหมาะสมกว่าการทำแผนที่ต้นไม้ (Treemap) ที่ต้องใช้เวลาดูและคิดมากกว่า ข้อมูลอาจจะละเอียดมากเกินไปเหมาะสำหรับผู้บริหาร เป็นต้น 3. ข้อมูลมีจำนวนมากขนาดไหน           จำนวนของข้อมูลก็ส่งผลต่อแผนภาพที่เราจะสร้าง ตัวอย่างเช่น ถ้าทำแผนภาพการกระจาย (Scatter plot) ที่บอกถึงความสัมพันธ์ระหว่างยอดขายและราคา หากสินค้าซึ่งแทนด้วยจุดแต่ละจุดบนแผนภาพมีจำนวนมากก็จะทำให้แผนภาพนั้นดูเข้าใจได้ยาก (ซ้าย) ตัวอย่างเช่นนี้อาจจะต้องอาศัยการรวบแถวข้อมูล (Aggregate) ก่อนเพื่อจัดกลุ่มเป็นหมวดหมู่ (ขวา) เป็นต้น 4. ข้อมูลเป็นประเภทอะไร           โดยทั่วไปแล้วข้อมูลอาจแบ่งออกเป็นสองประเภท คือ ข้อมูลประเภทหมวดหมู่ (Categorical) และข้อมูลประเภทตัวเลข (Numerical) การสร้างแผนภาพสำหรับข้อมูลต่างประเภทก็จะมีความแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น หากต้องการเปรียบเทียบจำนวนสินค้าในประเภทผลิตภัณฑ์แตกต่างกันก็จะใช้กราฟแท่ง แต่ถ้าเปรียบเทียบจำนวนสินค้ากับผลิตภัณฑ์ราคาต่าง ๆ กัน ก็อาจจะใช้ ฮิสโตแกรม (Histogram) เพราะว่า ประเภทผลิตภัณฑ์กับราคาสินค้าเป็นข้อมูลคนละประเภทกัน 5 องค์ประกอบของแผนภาพที่ใช้สื่อถึงอะไร           หลักการของการทำแผนภาพ คือให้องค์ประกอบ (Element) แทนที่ตัวเลขหรือข้อมูลของเรา ตัวอย่างเช่น ในกราฟวงกลมเราให้ สีแสดงถึงหมวดหมู่ และมุมหรือพื้นที่ของพาย แสดงถึงจำนวนในหมวดหมู่นั้น ๆ แต่ละองค์ประกอบควรจะสื่อถึงปริมาณเพียงอย่างเดียว เพื่อให้สื่อสารได้อย่างแม่นยำ ทีนี้มาดูตัวอย่างแผนภาพต่าง ๆ ที่ใช้ตอบคำถามหลากหลายรูปแบบ 1. ต้องการแสดงถึงขนาดที่ต่างกัน หรือ จัดลำดับ โดยทั้งสองแบบอาจจะใช้สีในกรณีที่ต้องการแบ่งหมวดหมู่ ขนาดที่แตกต่างกันจะทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าปริมาณในข้อมูลกลุ่มไหนมีขนาดใหญ่ที่สุด 2. ต้องการเห็นความสัมพันธ์ หากต้องการหาความสัมพันธ์ระหว่างสองตัวแปร เช่น ราคา กับ กำไร สัมพันธ์กันอย่างไร 3. ต้องการเห็นการกระจายตัว 4. ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลา 5. ต้องการเห็นข้อมูลที่เบี่ยงเบนจากปกติ หากต้องการเน้นว่าตัวเลขนั้นเบี่ยงเบนจากค่าอ้างอิง เช่น เป้าหมายหรือค่าเฉลี่ยมากน้อยแต่ไหน มีค่าบวกหรือลบมากน้อยเพียงใด เราสามารถใช้สีในการช่วยสื่อถึงว่าตัวเลขมีค่าสูงหรือต่ำกว่าเป้าหมายที่ต้องการแสดงเพียงใด 6. ต้องการแสดงถึงองค์ประกอบ 7. ต้องการแสดงถึงข้อมูลเชิงพื้นที่ แหล่งที่มา https://www.tableau.com/solutions/gallery/visual-vocabulary
19 March 2021
Curve Fitting อย่างง่ายดาย ด้วย SciPy : สำหรับการพยากรณ์แนวโน้มเบื้องต้น
ในช่วงที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 นี้ เราอาจจะได้เห็นหลาย ๆ คนได้ลองพยายามนำข้อมูลของผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นทุก ๆ วันมาพยากรณ์ว่ามันจะมีแนวโน้มไปในทิศทางไหน โมเดลที่นิยมนำมาใช้ก็คือ SEIR model ที่สามารถอธิบายการระบาดโดยใช้สมการอนุพันธ์ต่าง ๆ แต่พอเข้าไปอ่านดูแล้วพวกเราบางคนอาจจะคิดในใจว่า ทำไมมันยากอย่างนี้!! วันนี้ผมจึงเอาอีกเทคนิคที่ง่ายขึ้นและซับซ้อนน้อยลงมานำเสนอนั่นก็คือการ fit curve แบบง่าย ๆ เลย
8 April 2020
สร้างแผนที่การระบาดโควิด-19 อย่างถูกหลักการ
ในปัจจุบันนี้เรามีเทคโนโลยีและเครื่องมือมากมายที่จะช่วยการนำเสนอข้อมูลในหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นแผนภาพหรือแผนที่ต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดายและทันท่วงที สำหรับช่วงการระบาดของโควิดนี้ เราได้เห็นสื่อหรือหน่วยงานต่าง ๆ นำเสนอข้อมูลการระบาดของโรคทั้งในบริบทของประเทศไทยและในบริบทของสถานการณ์โลก แผนที่การระบาดถูกนำมาแชร์มากมายในโซเชียลมีเดีย และผู้อ่านหลายคนก็อาจจะอยากลองนำข้อมูลมาทำแผนที่เอง (ลองอ่าน การสร้าง Shape Map ใน Power BI จาก COVID-19 data) วันนี้เรามาลองดูกันดีกว่าว่าก่อนที่จะทำแผนที่อะไรนั้น อาจจะต้องนึกถึงหลักการอะไรบ้าง ในบทความนี้เราจะมาดูแผนที่แสดงการระบาดของโรคในประเทศจีน เนื่องจากมีการระบาดมานานกว่าใครเพื่อน และ เป็นประเทศแรกที่มีข้อมูลที่นำมาใช้ทำแผนที่ เดี๋ยวเรามาดูแผนที่แบบต่าง ๆ กันนะครับ (แผนที่ที่เราจะศึกษาเหล่านี้มาจาก ESRI ครับ) แผนที่แบบสี สำหรับเทคนิคที่ยอดนิยมที่สุดในการแสดงข้อมูลจำนวนในแผนที่นั้นก็คือ การใช้สีในแต่ละพื้นที่ หรือ เรียกว่า choropleth mapping โดยใช้สีเข้มขึ้นเพื่อสื่อถึงจำนวนที่มากขึ้นในพื้นที่นั้น ๆ เทคนิคนี้เป็นเทคนิคที่ดีเพราะสามารถทำให้ผู้เห็นเข้าใจได้ง่ายและรวดเร็ว แต่ก็สามารถทำให้ตีความหรือเข้าใจข้อมูลผิดได้ถ้าใช้ไม่ถูกวิธี จะผิดได้อย่างไรเรามาดูกันครับ รูปที่ 1 คือแผนที่การระบาดของโรคโควิดในประเทศจีนเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ใช้เทคนิค choropleth mapping ภาพนี้อาจจะดูดีและเข้าใจง่ายใช่ไหมครับ แต่จริง ๆ แล้วแผนที่นี้หลอกตาเราอยู่อย่างหนึ่ง คือ สีที่ใช้แสดงถึงจำนวนรวมทั้งหมด (total) ในพื้นที่ ทว่าต้องอย่าลืมว่าแต่ละพื้นที่นั้นนอกจากจะมีขนาดไม่เท่ากันแล้วก็ยังมีจำนวนประชากรที่แตกต่างกัน การเปรียบเทียบสี (ซึ่งแสดงจำนวนผู้ติดเชื้อในพื้นที่) ของสองพื้นที่กันตรง ๆ อาจนำไปสู่ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจากที่ควรจะเป็น ในแผนที่บอกว่ามณฑลหูเป่ยมีผู้ป่วยกว่า 65,000 คน ซึ่งดูเป็นจำนวนที่เยอะ แต่เราไม่รู้ว่าประชากรหูเป่ยมีจำนวนกี่คน มากกว่าหรือน้อยกว่ามณฑลข้างเคียง การเทียบด้วยจำนวนทั้งหมดอย่างเดียวจึงไม่ใช่การเปรียบเทียบที่ดีนัก นั่นจึงเป็นหลักการในการทำแผนที่ว่าการใช้สีแบบนี้ไม่ควรจะแสดงถึงค่ารวมของทั้งพื้นที่ นอกจากนี้อาจจะทำให้คนอ่านติดภาพในหัวไปว่าการระบาดนั้นเกิดขึ้นนั้นกระจายออกไปทั่วทั้งมณฑล ทั้งที่ความเป็นจริงนั้นการระบาดอาจจะถูกจำกัดอยู่ในเมืองใหญ่ในใจกลางมณฑลอย่างเดียวก็เป็นได้  อีกอย่างหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงเมื่อใช้ choropleth mapping ก็คือ color scheme หรือ เกณฑ์ในการใช้สี ในรูปที่ 1 นี้มีการใช้จำนวนผู้ป่วย 1000 คนเป็นค่าสูงสุดและให้เป็นสีเข้มที่สุด ซึ่งมีอยู่ห้ามณฑลด้วยกัน ถ้าดูแผนที่นี้อย่างเผิน ๆ อาจเข้าใจว่าห้ามณฑลนี้มาการระบาดพอ ๆ กัน ใช่ไหมครับ… ผิดครับ ลองมาดูกราฟจะเห็นได้ว่าหูเป่ยมีปริมาณสูงกว่าอีกสี่มณฑลมาก ถ้าดูกราฟแท่งนี้แล้วกลับไปมองแผนที่ในรูป 1 จะพบว่ามันสื่อความหมายต่างกันสิ้นเชิง ซึ่งเป็นเพราะว่าการใช้ 1000 เคสผู้ป่วยเป็นตัวแบ่งสีนั้นอาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก  จากสองข้อนี้เราควรจะทำอย่างไรดี ถึงจะได้แผนที่ที่ดูแล้วไม่ทำให้เข้าใจผิด? เราลองมาดูแผนที่อีกชิ้นที่นำเสนอข้อมูลเดียวกันกันนะครับ อย่างแรกเลยแผนที่นี้เปลี่ยนมาใช้สีน้ำเงินแทน เนื่องจากสีแดงเป็นสีที่สื่อถึงอารมณ์รุนแรง ถ้าย้อนกลับไปดูแผนที่ในรูปที่ 1 จะเห็นได้ว่าการที่มีสีแดงทั่วทั้งประเทศ อาจจะทำให้รู้สึกว่ามันแดงหมดทั้งประเทศแล้วนะหรืออาจะสื่อถึงความตายในขณะที่เรานำเสนอเพียงจำนวนผู้ป่วยไม่ได้หมายถึงจำนวนผู้เสียชีวิต การใช้สีแดงจะเป็นการเพิ่มอารมณ์ไปโดยที่ไม่จำเป็น (ถึงแม้จะดูสวยก็ตามเถอะ) แต่การใช้สีอื่นก็สามารถสื่อความหมายได้เหมือนกัน อย่างที่สองการใช้สีของแผนที่นี้สื่อถึงอัตราส่วนผู้ป่วยต่อจำนวนประชากร ไม่ได้หมายถึงจำนวนผู้ป่วยทั้งหมด ซึ่งนี่ทำให้สามารถแสดงได้ว่าการมีผู้ป่วย 10 คนในเมืองใหญ่ กับ 10 คนในหมู่บ้านเล็ก ๆ นั้นเห็นถึงความรุนแรงต่างกัน อย่างที่สามหูเป่ยมีผู้ติดเชื้อ 111 คนต่อแสนคน ในขณะที่มณฑลอื่นมีไม่ถึง 3 คนต่อแสนคน จึงใช้สีที่ต่างจากมณฑลอื่นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างที่ชัดเจนยิ่งขึ้น การใส่ label และ legend ที่เหมาะสมก็ช่วยให้ตีความข้อมูลได้ถูกต้องมากขึ้น อย่างไรก็ตามการใช้ choropleth mapping ก็ไม่ได้เป็นวิธีเดียวในการนำเสนอข้อมูลบนแผนที่ แล้วยังมีวิธีอื่นอีกไหม? แผนที่แบบจุด เราสามารถใช้แผนที่แบบจุดกระจาย หรือ dot density map แทนการใช้สีเพื่อแสดงข้อมูลผู้ป่วยได้ โดยในรูปที่ 4 แต่ละจุดในภาพสื่อถึงผู้ป่วยสิบคน การใช้จุดทำให้เราสามารถนำเสนอจำนวนผู้ป่วยทั้งหมดได้เลย ไม่ต้องทำอัตราส่วนก่อน เพราะจุดแต่ละจุดนั้นมีขนาดเท่ากันจะไม่ทำให้เกิดการตีความผิดแบบในกรณีใช้สี เนื่องจากเราไม่รู้ตำแหน่งทีแท้จริงของผู้ป่วยจึงให้จุดจะกระจายแบบสุ่มในแต่ละพื้นที่ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างหูเป่ยและมณฑลอื่น ๆ ข้อเสียคือทำให้คนอ่านเข้าใจผิดว่าแต่ละจุดหมายถึงผู้ป่วยหนึ่งคน ดังนั้นการใส่ label ที่เหมาะสมจึงมีความจำเป็น แผนที่อีกแบบที่สามารถใช้ได้คือแผนที่แสดงด้วยสัญลักษณ์สัดส่วน หรือ proportional symbol map ซึ่งใช้ขนาดของวงกลมมาแสดงถึงจำนวนผู้ป่วย โดยที่พื้นที่ของวงกลมจะแสดงถึงจำนวนผู้ป่วยรวมของแต่ละมณฑล มีใครเห็นข้อแตกต่างของแผนที่นี้กับแผนที่ที่ผ่านมาไหมครับ? ในแผนที่นี้เราสามารถมองเห็นฮ่องกงและมาเก๊าได้ เนื่องจากสองเขตนี้มีขนาดเล็กทำให้ยากต่อการมองเห็นใน choropleth หรือ dot density map ในขณะที่แผนที่แบบ proportional symbol map ช่วยให้เราเห็นข้อมูลของพื้นที่ที่มีขนาดเล็กได้เพราะขนาดของวงกลมที่แสดงจะไม่ขึ้นกับขนาดของพื้นที่นั่นเอง เนื่องจากหูเป่ยมีตัวเลขผู้ป่วยสูงจุดอื่น ๆ จึงมีขนาดเล็กหมด เราสามารถแก้ปัญหานี้ได้โดยใช้อัตราส่วนแบบ logarithm หรือที่เรียกกันว่า log scale ในการแสดงขนาดของจุด จะทำให้เปรียบเทียบมณฑลอื่น ๆ ได้ง่ายยิ่งขึ้น แต่อย่าลืม legend ที่ชัดเจนเพื่อบอกว่าขนาดของวงกลมหมายถึงอะไร แผนที่แบบอื่น ๆ เทคนิคที่กล่าวมาทั้งหมดก็น่าจะเพียงพอแล้ว ที่จะนำมาออกแบบแผนที่แสดงข้อมูล แต่จริง ๆ แล้วมันก็ยังมีอีกหลายอย่าง ซึ่ง”อาจจะ”นำมาใช้ได้ เทคนิคแรกเลยที่จะพูดถึงคือการใช้แผนที่ความร้อนหรือ heat map… ดูไม่งามเลยจริงไหมครับ แผนที่นี้สร้างโดยการประมาณค่าตัวเลขในพื้นที่ต่าง ๆ ให้ครอบคลุมทั้งประเทศ โดยใช้ค่าตั้งต้นจากผู้ป่วยในแต่ละมณฑลเป็นจุดกลางมณฑล ปัญหาคือมณฑลในจีนมีขนาดใหญ่มาก จุดกลางมณฑลที่ใช้ในการคำนวณอาจจะไม่ใช่จุดกึ่งกลางของการระบาดในมณฑลนั้น ๆ อีกอย่างหนึ่งคือเราดูแผนที่นี้แล้วดูไม่ออกว่าจุดเริ่มต้นของการระบาดอยู่ที่หูเป่ย ส่วนสีที่ใช้นั้นก็ดูไม่ค่อยสื่อถึงกับการระบาดของโรคเท่าไร แล้วแผนที่สามมิติล่ะ ใคร ๆ ก็ชอบสามมิติ แต่ผมว่าไม่ การใส่ effect สามมิติเข้าไปในแผนที่นั้น ไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรออกมามากและดูเหมือนจะเบี่ยงเบนความสนใจของผู้อ่านไปจากข้อมูลที่ต้องการจะนำเสนอเสียด้วยซ้ำ แถมอย่างในรูปที่ 8 กราฟสามมิติที่แสดงจำนวนผู้ป่วยเป็นความสูง อาจจะบดบังข้อมูลของมณฑลบางมณฑลอีกด้วย แผนที่แบบ interactive อย่างสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงคือการทำ Interactive map บนเว็บหรือ Dashboard ปัจจุบันมีเครื่องมือมากมายเช่น PowerBI หรือ Tableau (ตัวอย่าง จาก Tableau) ซึ่งทำให้เราสามารถเล่นกับแผนที่ได้ เช่น สามารถคลิกที่แต่ละพื้นที่แล้วแสดงข้อมูลแบบละเอียดออกมา หรือเมื่อซูมเข้าไปจะทำให้ข้อมูลที่แสดงออกมาละเอียดขึ้น เช่น เปลี่ยนจากจำนวนรวมของมณฑลเป็นจำนวนรวมแต่ละเมืองแทน การทำแผนที่เหล่านี้ก็ยังต้องคำนึกถึงสิ่งที่เขียนไว้ในบทความนี้เพื่อที่จะไม่ให้สื่อสารผิดวิธี ปัญหาหนึ่งของการทำ interactive map แบบนี้ คือผู้ใช้สามารถซูมเข้าไปได้เรื่อย ๆ ซึ่งหากซูมมากเกินไปกว่าขีดจำกัดของข้อมูลที่มีอาจจะทำให้คนเข้าใจผิดได้ เช่น ถ้าซูมเข้าไปที่จังหวัดจนมองไม่เห็นจุดที่แสดงถึงข้อมูล จะทำให้มองไม่เห็นจุดแล้วเข้าใจผิดได้ว่าในพื้นที่นั้นไม่มีการระบาดเป็นต้น จึงควรจำกัดการซูมไม่ให้เล็กกว่าขีดจำกัดของการแสดงผล และนี่ก็เป็นหลักการนำเสนอข้อมูลบนแผนที่ หวังว่าผู้อ่านทุกท่านจะนึกถึงหลักการเหล่านี้ ก่อนที่นำไปใช้ในการออกแบบแผนที่แสดงข้อมูลไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสถานการณ์ระบาดของไวรัสโควิดหรือเรื่องอื่น ๆ ก็ตามครับ บทความแปลจาก https://www.esri.com/arcgis-blog/products/product/mapping/mapping-coronavirus-responsibly/
7 April 2020
ยาที่ถูกพัฒนาโดยระบบปัญญาประดิษฐ์ถูกนำมาใช้ในมนุษย์เป็นครั้งแรก
เราอาจจะเคยได้ยินถึงขีดความสามารถของระบบปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ที่ในอนาคตอาจจะเข้ามาทำงานแทนที่มนุษย์แทบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไร้คนขับที่จะเข้ามาทำหน้าที่แทนคนขับแทกซี่หรือจะมาแย่งงานคุณหมอในการวินัจฉัยผู้ป่วยด้วย
27 March 2020
PDPA Icon

We use cookies to optimize your browsing experience and improve our website’s performance. Learn more at our Privacy Policy and adjust your cookie settings at Settings

Privacy Preferences

You can choose your cookie settings by turning on/off each type of cookie as needed, except for necessary cookies.

Accept all
Manage Consent Preferences
  • Strictly Necessary Cookies
    Always Active

    This type of cookie is essential for providing services on the website of the Personal Data Protection Committee Office, allowing you to access various parts of the site. It also helps remember information you have previously provided through the website. Disabling this type of cookie will result in your inability to use key services of the Personal Data Protection Committee Office that require cookies to function.
    Cookies Details

  • Performance Cookies

    This type of cookie helps the Big Data Institute (Public Organization) understand user interactions with its website services, including which pages or areas of the site are most popular, as well as analyze other related data. The Big Data Institute (Public Organization) also uses this information to improve website performance and gain a better understanding of user behavior. Although the data collected by these cookies is non-identifiable and used solely for statistical analysis, disabling them will prevent the Big Data Institute (Public Organization) from knowing the number of website visitors and from evaluating the quality of its services.

  • Functional Cookies

    This type of cookie enables the Big Data Institute (Public Organization)’s website to remember the choices you have made and deliver enhanced features and content tailored to your usage. For example, it can remember your username or changes you have made to font sizes or other customizable settings on the page. Disabling these cookies may result in the website not functioning properly.

  • Targeting Cookies

    "This type of cookie helps the Big Data Institute (Public Organization) understand user interactions with its website services, including which pages or areas of the site are most popular, as well as analyze other related data. The Big Data Institute (Public Organization) also uses this information to improve website performance and gain a better understanding of user behavior. Although the data collected by these cookies is non-identifiable and used solely for statistical analysis, disabling them will prevent the Big Data Institute (Public Organization) from knowing the number of website visitors and from evaluating the quality of its services.

Save settings