Blockchain

Blockchain

ข่าวและบทความที่เกี่ยวข้อง

All Blockchain

PostType Filter En

บทความ

Insurance 2030 – AI จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจประกันภัยอย่างมหาศาลภายในปี 2030
ธุรกิจประกันภัย หนึ่งในธุรกิจที่สำคัญของมนุษย์กำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหม่ เมื่อปัญญาประดิษฐ์จะเข้ามาเปลี่ยนโฉมวีถีการดำเนินธุรกิจนี้ไปตลอดการจากคำทำนายของบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำของโลก ธุรกิจประกันภัยในโลกอนาคตจะหน้าตาแบบใด ปัญญาประดิษฐ์จะเข้ามามีบทบาทในธุรกิจประกันภัยอย่างไร และเราจะเตรียมพร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ได้อย่างไรภายในปี 2030 ในบทความนี้มีคำตอบ
14 February 2024

บทความ

วิเคราะห์ NFT: ความเข้าใจในมูลค่าสินทรัพย์
ตามหลักการแล้ว มูลค่าของ Non-Fungible Token (NFT) หรือสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีลักษณะเฉพาะตัวในทุกวันนี้ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนจะมองมันอย่างไร โดยเมื่อเวลาผ่านไปมูลค่าของ NFT ชิ้นหนึ่งจะเปลี่ยนไปอย่างไรก็ยังไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้แน่ชัด ( NFT คือ ) ตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา แนวคิดของสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีลักษณะเฉพาะตัว (NFT) ได้กลายเป็นตัวแทนของนวัตกรรมเทคโนโลยีที่โดดเด่นที่สุดอย่างหนึ่งในยุคนี้ ตามแก่นแท้ของ NFT คือสินทรัพย์ดิจิทัลที่ถูกสร้างขึ้น ซื้อขาย และแลกเปลี่ยนในตลาด Blockchain ส่วนใหญ่ผ่านทางสกุลเงินคริปโต เช่น Ethereum เป็นต้น การผสมผสานเทคโนโลยี Blockchain เข้าด้วยกันสามารถทำให้ผู้ใช้สามารถพิสูจน์ได้ว่า NFT แต่ละชิ้นเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลของแท้ที่ไม่เหมือนใคร นอกจากนี้ Blockchain ยังสามารถช่วยตามรอยเจ้าของคนก่อน ๆ ได้อีกด้วย ตั้งแต่มีการเปิดตัวในวงกว้างในปี 2017 ผ่านทางเกม เช่น Axie Infinity, CryptoKitties, และ My Crypto Heroes เป็นต้น NFT ก็ได้รับความนิยมอย่างมากมายมหาศาลจากคนทั่วโลก จากการประสบความสำเร็จในการผสมผสานเข้ากับโลกแห่งศิลปะดิจิทัล NFT บางชิ้นสามารถขายได้หลายล้าน หรือแม้กระทั่งหลายสิบล้านดอลลาร์ ทำให้มีการคาดคะเนกันอย่างแพร่หลายถึงมูลค่าที่แท้จริงของ NFT ในฐานะสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทใหม่ขึ้นมา อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับสินค้าโภคภัณฑ์และสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น ๆ ตัว NFT เกือบทั้งหมดมีมูลค่าน้อยมาก ไปจนถึงไม่มีมูลค่าที่แท้จริงเลย แต่มูลค่าของ NFT กลับขึ้นอยู่กับความต้องการที่ผันผวนของตลาดผู้บริโภค NFT สร้างมูลค่าอย่างไร โดยพื้นฐานแล้ว จุดดึงดูดของ NFT คือการคนซื้อสามารถเป็นเจ้าของสินทรัพย์ดิจิทัลนั้น ๆ ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นงานศิลปะชิ้นหนึ่ง สิ่งของที่ใช้ในวิดีโอเกม หรือแม้แต่ไฟล์ ทวีตแรกสุด ของแจ็ค ดอร์ซีย์ อดีต CEO ของทวิตเตอร์ แม้ว่าจะมีอีกบุคคลหนึ่งที่ “เป็นเจ้าของ” ชิ้นดั้งเดิมที่ถูกเปลี่ยนให้เป็น NFT (เช่นศิลปินปล่อยเพลงหรือ มิวสิควิดีโอเป็น NFT) ผู้ซื้อ NFT ก็สามารถอวดอ้างสิทธิ์การเป็นเจ้าของไฟล์ดั้งเดิมได้  หลังจากนั้นเจ้าของจะเลือกถือสิทธิ์การเป็นเจ้าของ NFT นั้นไว้หรือจะเลือกขายต่อเพื่อเอากำไรก็ย่อมได้ เพื่อทำความเข้าใจเรื่องนี้ เราต้องดูว่ามูลค่าของ NFT แปรผันตามมูลค่าที่ผู้ใช้มองมันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ถ้าผู้ใช้จำนวนมากในกลุ่มตลาดผู้บริโภคกลุ่มหนึ่งมอง NFT ชิ้นนั้นว่าเป็นของหายากกว่าชิ้นอื่น ๆ ผู้ใช้เหล่านั้นยิ่งให้มูลค่า NFT ดังกล่าวมากขึ้น เช่นเดียวกับผู้สะสมงานศิลปะหรือของที่ระลึกเกี่ยวกับกีฬา มูลค่านั้นไม่ได้มีอยู่ในตัวสิ่งของที่พวกเขาได้มา แต่อยู่ที่ว่าตลาดมองเห็นมันอย่างไร  อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกด้านหนึ่งของ NFT ที่สามารถช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มเติมได้ผ่านการผสมผสานการใช้สัญญาอัจฉริยะหรือสมาร์ทคอนแทรคท์ การสร้างมูลค่าในกรรมสิทธิ์ตลอดชีพผ่านสัญญาอัจฉริยะ สัญญาเหล่านี้อนุญาตให้ผู้ใช้สามารถพิสูจน์อัตลักษณ์และความเป็นเจ้าของ NFT ใดก็ได้เมื่อมีการทำธุรกรรมซื้อขาย เพราะภายใน Blockchain นั้นมีโปรแกรมสำหรับ สัญญาอัจฉริยะ อยู่ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเห็นได้ว่าใครเป็นคนแรกที่สร้าง NFT ชิ้นนั้นแล้ว สัญญาอัจฉริยะยังสามารถอนุญาตให้ผู้สร้างคนแรกได้รับเงินส่วนหนึ่งในรูปแบบของ การจ่ายเงินค่าสิทธิ จากธุรกรรมแต่ละครั้งที่เกิดขึ้นได้ด้วย บางทีนี่อาจเป็นวิธีที่ถูกต้องและยุติธรรมที่สุดที่สินทรัพย์ดิจิทัลชนิดใหม่อย่าง NFT สามารถให้ส่วนแบ่งโดยตรงกับทั้งผู้สร้างและผู้บริโภคอย่างเท่าเทียม ยิ่ง NFT นั้นขายได้ราคามากเท่าไร ผู้สร้างคนแรกก็จะยิ่งสามารถได้รับค่าสิทธิมากขึ้นเท่านั้นผ่านสัญญาอัจฉริยะของสินทรัพย์นั้น Andy Rosen (แอนดี้ โรเซ็น) นักเขียนด้านการลงทุนของ Nerdwallet กล่าวว่า “ในทางกลับกัน ผู้ซื้อที่สนับสนุนผู้สร้างที่กำลังลำบากด้วยการซื้อ NFT อาจมีโอกาสได้ส่วนแบ่งรายรับจากโครงการอื่น ๆ ในภายภาคหน้า”  Rosen อธิบายถึงอีกวิธีการหนึ่งซึ่ง NFT สามารถสร้างมูลค่าได้โดยการใช้วิธีลงทุนขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องและยก VeeFriends ของนักลงทุน Gary Vaynerchuk (แกรีย์ เวย์เนอร์ชัค) มาเป็นตัวอย่าง คนที่ซื้อ NFT ชุดนี้หนึ่งชุด จะได้รับตั๋วฟรีเข้าร่วม VeeCon ซึ่งเป็นการประชุมใหญ่ทางธุรกิจประจำปีของ Vaynerchuk อีกทั้งยังเป็น “งานอีเว้นท์สำหรับผู้ถือ NFT [VeeFriend] โดยเฉพาะ” อีกด้วย บางคนอาจประหลาดใจเมื่อทราบว่า หากอ้างอิงจากแนวคิดทั่ว ๆ ไปนั้น NFT ไม่มีมูลค่าที่แท้จริงอยู่เลย แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่า NFT ในฐานะสินทรัพย์ดิจิทัลกลุ่มหนึ่งจะไม่มีมูลค่า แม้ว่าจะมีหลายปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อมูลค่าที่ NFT หนึ่ง ๆ จะถูกตีราคา แต่ปัจจัยเหล่านั้นแทบทั้งหมดได้รับอิทธิพลและถูกกำหนดโดยตลาดผู้ใช้เพียงอย่างเดียว ยิ่ง NFT หายากหรือมีประโยชน์มากเท่าไร หรือยิ่งสินทรัพย์บางอย่างมีศักยภาพในการลงทุนสูงเท่าไร ผู้ใช้หลายคนยิ่งมองเห็นมูลค่าสูงมากขึ้นเท่านั้น หากไม่มีมูลค่าที่รับรู้จากตลาด NFT ก็ไม่ได้มีมูลค่ามากไปกว่าสินทรัพย์หรือสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ เนื่องจากหลายๆ คนยังถือว่า NFT เป็นนวัตกรรมใหม่ ศักยภาพที่แท้จริงของมันในฐานะสิ่งสร้างมูลค่าจึงยังคงถูกมองข้ามอยู่  แม้ว่าอาจมีเปลี่ยนแปลงในอนาคต แต่จนกว่าวันนั้นจะมาถึง NFT ก็มีมูลค่าแค่เท่าที่ตลาดเห็นว่ามันมี บทความโดย Hironobu Uenoเนื้อหาจากบทความของ InformationWeekแปลและเรียบเรียงโดย ไอสวรรค์ ไชยชะนะตรวจทานและปรับปรุงโดย ดวงใจ จิตคงชื่น
24 August 2022

บทความ

อะไรคือเกม NFT และประโยชน์ของเกม NFT คืออะไร?
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทุกท่านน่าจะพอรู้จักอุตสาหกรรมเกี่ยวกับเกมกันไม่มากก็น้อยอยู่แล้วใช่มั้ยครับ ว่ามีเกมทั้งประเภท ออฟไลน์ และออนไลน์ที่ผลิตออกมาเพื่อให้คนทั่ว ๆ ไปสามารถเล่นเพื่อความเพลิดเพลิน และความสนุกสนานรวมไปถึงการสร้างรายได้จากการเล่นเกมเช่นกัน โดยในยุคปัจจุบันได้มีเกมในรูปแบบใหม่ที่เรียกว่าเกม NFT ซึ่งใช้ระบบบล็อกเชน (Blockchain) หรือก็คือเทคโนโลยีการประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ ที่ช่วยในการบันทึกข้อมูลโดยใช้หลักการเข้ารหัส (Cryptography) ร่วมกับกลไลฉันทามติ (Consensus) เพื่อทำให้ข้อมูลที่ถูกเข้ารหัสและไม่สามารถถูกแก้ไขได้ (Immutable) พอถึงตรงนี้ก็อาจจะสงสัยใช่ไหมครับว่าแล้วคำว่า NFT คืออะไร NFT หรือ Non-Fungible Token คือโทเค็นที่ถูกสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน โดยเสมือนเป็นสิ่งของที่มีอยู่ชิ้นเดียวบนบล็อกเชน เพื่อให้ผู้ถือครองเป็นเจ้าของโทเค็นนั้น ๆ และเจ้าตัวโทเค็นเหล่านี้ ก็สามารถใช้ในการแลกเปลี่ยนซื้อขายได้เช่นกัน ต่อมาเราจะมาพูดถึง เกม NFT คืออะไร และต่างจากเกมออนไลน์ทั่วไปอย่างไร เกม NFT จริง ๆ แล้วก็เหมือนเกมออนไลน์ทั่ว ๆ ไปที่ผู้เล่นสามารถรับไอเทมต่าง ๆ ภายในเกมได้โดยการเล่น หรือบรรลุภารกิจ ต่าง ๆ ภายในเกม และสามารถนำรางวัลที่ได้จากในเกม หรือไอเทมต่าง ๆ เป็น NFT และสามารถนำไปขายกับผู้เล่นคนอื่น ๆ แลกกับสกุลเงินดิจิทัล แล้วจึงแลกออกมาเป็นเงินจริงได้ในที่สุด ซึ่งตรงนี้ทุกคนก็อาจจะสงสัยว่า แล้วมันต่างจากเกมออนไลน์ทั่วไปยังไง เนื่องจากเกมออนไลน์ทั่วไป ก็สามารถที่จะนำไอเทมต่าง ๆ ที่สะสมภายในเกม แลกเปลี่ยนกับผู้เล่นอื่น ๆ เพื่อสร้างเป็นระบบเศรษฐกิจทั้งในเกม และนอกเกมได้เช่นกันโดยที่ไม่ต้องมี NFT อย่างไรก็ตาม จุดที่ต่างกันสำหรับเกมออนไลน์ทั่วไปกับเกม NFT นั้นคือไอเทมต่าง ๆ ภายในเกมที่ผู้เล่นสามารถเก็บสะสมมาได้นั้น ไม่ถือว่าผู้เล่นได้เป็นเจ้าของพวกมันอย่างสมบูรณ์ เนื่องจากไอเทมเหล่านั้นถูกเก็บข้อมูลไว้ในเซิร์ฟเวอร์ของผู้ให้บริการเกม ทำให้ผู้ดูแลเกมสามารถแก้ไขข้อมูลทุกอย่างในเซิร์ฟเวอร์นี้ได้หากต้องการ นั่นหมายความว่าสถานะการถือครองของในเกมของเราขึ้นอยู่กับผู้ดูแลเกมโดยสมบูรณ์ ในทางกลับกัน ไอเทมในเกม NFT จะถือว่าเป็นของผู้เล่นจริง ๆ และไม่มีใครสามารถเอาไอเทมนี้ของเราไปได้ ซึ่งนี่ก็คือเหตุผลที่ทำไม เกม NFT ถึงเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าสำหรับผู้เล่นที่ต้องการสร้างรายได้จากการเล่นเกม แล้วทำไมผู้ดูแลถึงไม่สามารถทำอะไรกับไอเทมของเราได้ละ? ซึ่งก็เพราะว่าเรามี private key หรือกุญแจในการอนุมัติการโอนสินทรัพย์ หรือไอเทมของเราไปให้คนอื่น นอกจากนี้ข้อมูลไอเทมก็ยังถูกเก็บแบบกระจายศูนย์ ดังที่กล่าวไว้ในย่อหน้าแรก เพราะฉะนั้นจึงเป็นไปได้ยากมาก ๆ ในการที่ใครจะแก้ไขสถานะการถือครองทรัพย์สินของเราไปให้คนอื่นโดยปราศจากความสมัครใจของเรา เศรษฐกิจโลกของวิดีโอเกม บล็อกเชน และสกุลเงินดิจิทัลเติบโตขึ้นทุกวัน ดังนั้นการสร้างรายได้ผ่านตลาดบล็อกเชน และตลาดคริปโตนั้นถือเป็นวิธีการที่มีศักยภาพอย่างมากในช่วงนี้ โดยเกม NFT นั้นได้กลายเป็นวิธีใหม่ในการสร้างตลาดสินค้า และบริการอย่างมีประสิทธิภาพ และในขณะเดียวกันยังดึงดูดทั้งนักลงทุนและผู้เล่นในเกมอีกด้วย มูลค่าของเกมจึงถูกกำหนดด้วยจำนวนผู้เล่นที่มีความเกี่ยวข้องกับเกมเป็นประจำ และนี่จึงเป็นสาเหตุที่เกม NFT สามารถเพิ่มมูลค่าของตลาดเกมได้เป็นอย่างมาก นอกจากนี้เกม NFT ก็ยังนำเสนอตัวเลือกใหม่ ๆ ที่น่าตื่นเต้นสำหรับนักลงทุนและผู้เล่นตลอดเวลาอีกเช่นกัน ถึงตรงนี้ทุกท่านอาจจะเห็นภาพของเกม NFT กันยังไม่ชัดเจนใช่มั้ยครับ เราจะขอยกตัวอย่างเกม Axie Infinity เพื่อขยายความให้เห็นภาพกันชัดเจนมากยิ่งขึ้นครับ Axie Infinity ถือว่าเป็น 1 ในเกม NFT ที่ประสบความสำเร็จที่สุดโดยเกมมีลักษณะเหมือนกับการนำส่วนผสมของเกมโปเกม่อน และเกมแนวการ์ดมาไว้ด้วยกัน โดยที่ผู้เล่นจะต้องมี Axie อย่างน้อย 3 ตัวเพื่อที่จะเล่นในโหมดผจญภัย หรือลานประลองของเกมได้ ซึ่งรูปแบบการเล่นจะเป็นแบบ Turn-Based โดยผู้เล่นจะต้องเลือกการ์ด เพื่อออกท่าโจมตีให้กับ Axie เพื่อใช้ในการต่อสู้กับ Axie ของผู้เล่นคนอื่น ๆ นอกจากนี้ตัวเกมก็ยังมีโหมดที่สามารถผสมพันธุ์ Axie เข้าด้วยกันเพื่อทำให้เราได้รับ Axie ที่มีความเก่งและหายากมากขึ้นอีกด้วย เกม Axie Infinity นั้นมียอดผู้เล่นกว่า 1 ล้านรายต่อวันและมีมูลค่าเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในเกม เทียบเท่ากับ GDP ของบางประเทศเลยทีเดียว ซึ่งเพียงเท่านี้ก็สามารถบอกได้เลยว่าเกม Axie Infinity นั้นประสบความสำเร็จอย่างมาก สำหรับระบบเศรษฐกิจภายในเกมนั้นจะมีการซื้อ-ขาย แบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ๆ คือ 1. ขวด Smooth Love Potion (SLP) เป็นหนึ่งใน Cryptocurrency ที่มีการซื้อขายในตลาด ซึ่งได้จากการเล่นเกมทั้งในแบบผจญภัย หรือลานประลอง โดยตัวขวด SLP นี้เองจะใช้ในการผสมพันธุ์ Axie เพื่อให้ได้ Axie พันธุ์ใหม่ที่มีความหายากมากกว่าเดิมนั่นเอง 2. เหรียญ Axis Infinity Shards (AXS) จะได้รับจากการเล่นในโหมดลานประลอง โดยที่ผู้เล่นจะต้องแข่งกันให้ได้อันดับสูงที่สุดเพื่อที่จะได้รับเหรียญในจำนวนที่มากขึ้น โดยเหรียญ AXS นั้นจะมีไว้ใช้ในการโหวตเพื่อกำหนดทิศทางพัฒนาเกม (Governance) ได้ 3. การแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ NFT นั่นคือตัว Axie และไข่ของตัว Axie นั่นเอง ซึ่งการขายตัว Axie และไข่ของ Axie ก็เป็นอีก 1 ช่องทางสำหรับการซื้อ-ขาย โดยที่ผู้เล่นสามารถนำ Axie ที่มีอยู่มาผสมพันธุ์ เพื่อให้ได้ Axie ตัวใหม่ที่มีลักษณะพิเศษ และขายในตลาดในราคาที่สูงขึ้น ซึ่งการจะผสมพันธุ์ได้นั้น จะต้องใช้ขวด SLP และค่าธรรมเนียม AXS 2 เหรียญ โดยระยะเวลาที่ต้องรอคอยประมาณ 5 วัน ก่อนไข่จะฟัก แต่ผู้เล่นสามารถขายไข่ในตลาดได้เลย โดยที่ไม่ต้องรอให้ฟักจนเสร็จ จากระบบเศรษฐกิจที่เราได้กล่าวไว้ข้างต้นนั้นให้อะไรกับผู้เล่นและผู้พัฒนาบ้างละ ? สำหรับผู้เล่นนั้นจะได้รายได้จากการขายขวด SLP และเหรียญ AXS ที่ได้รับจากลานประลองหรือการขาย Axie หรือไข่ ให้กับผู้เล่นอื่น ๆ ที่ต้องการ ส่วนผู้เล่นที่ซื้อนั้นก็จะได้ Axie ที่มีลักษณะพิเศษเพิ่มขึ้นสามารถนำไปผสมพันธุ์และต่อยอดเพื่อเล่นในโหมดอารีน่าให้ได้อันดับที่สูงมากยิ่งขึ้น สำหรับผู้พัฒนานั้นจะได้รายได้จากการเก็บค่าธรรมเนียมจากการทำธุรกรรมต่าง ๆ ของผู้เล่น ซึ่งยิ่งมีจำนวนผู้เล่นมากผู้พัฒนาก็ได้รายได้จากค่าธรรมเนียมมากขึ้นเช่นกัน หลังจากที่เราพูดถึงแต่ข้อดีหรือประโยชน์ของ NFT กันแล้ว เราจะมาพูดถึงความเสี่ยงของการเล่นเกม NFT กันบ้าง จากที่ผมได้กล่าวไว้ว่า เกม NFT สามารถสร้างรายได้ให้กับผู้เล่นได้ แต่อย่างไรก็ตามก่อนที่จะได้กำไรก็ย่อมที่จะต้องมีการลงทุนก่อนครับ (Pay-To-Play)  ซึ่งการลงทุนก็คือการใช้เงินจริงๆ ซื้อทรัพย์สินภายในเกมเพื่อใช้ในการเล่นเกมนั่นเอง โดยตามหลักแล้วถ้าหากเราลงทุนจำนวนมากก็ย่อมมีโอกาสที่จะได้กำไรที่ค่อนข้างมากเช่นกัน แต่ทว่าเกมส่วนใหญ่นั้น ใช้วิธีการหาเงินในลักษณะการพึ่งพาเงินของผู้เล่นใหม่เพื่อที่จะจ่ายผู้เล่นเก่าซึ่งมันไม่ค่อยยั่งยืนครับ และพอเมื่อมีจำนวนผู้เล่นที่ลดลงเรื่อย ๆ และไม่ค่อยมีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาเล่นเกมอีก ราคาของสินทรัพย์ หรือไอเทมภายในเกมมีราคาที่ตกลงเรื่อยๆ เนื่องจากความต้องการซื้อ  (Demand) ลดลงแต่ความต้องการขาย (Supply) ยังคงเท่าเดิม จนทำให้ผู้เล่นนั้นสูญเสียเงิน และขาดทุนในที่สุด นอกจากนี้จะมีอีกคำหนึ่งที่หลาย ๆ ท่านอาจจะเคยได้ยินกันบ่อย ๆ กับคำว่า Rug Pull ซึ่งนั่นคือเหตุการณ์ที่นักต้มตุ๋นทั้งหลาย ได้โปรโมทตัวเกม NFT ด้วยภาพ, คำโฆษณาเกี่ยวกับระบบเกม...
21 July 2022

บทความ

ว่าด้วยเรื่องปัญหาด้านความปลอดภัยใน Metaverse (Metaverse Security)
Metaverse Security เนื้อหาโดยย่อ (Metaverse Security) การกําเนิดขึ้นของ Metaverse หรือที่คนไทยเรียกกันว่าจักรวาลนฤมิตนั้น สร้างความกังวลด้านความปลอดภัยที่มีอยู่ออกมาเป็นลิสต์ยาวเป็นหางว่าว การเพิ่มอีกมิติหนึ่งให้กับ Web 2.0 นํามาซึ่งโอกาสที่จะทำสิ่งที่ไม่ดี ไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการกลั่นแกล้งทางอินเทอร์เน็ต การใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่ละเอียดอ่อน รวมถึงการโจรกรรมทรัพย์สิน  ถึงแม้ว่าเราจะกำลังมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ก็คงจะต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่า Metaverse จะเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยในการจัดเก็บและแบ่งปันข้อมูล ข้อมูลผู้ใช้และการส่งข้อความ [Metaverse หรือจักรวาลนฤมิต] จะเพิ่มความรุนแรงของปัญหาความเป็นส่วนตัวก่อนหน้านี้ และสิ่งที่เรากําลังทำอยู่ตอนนี้ก็รับมือกับมันได้ไม่ดีนัก ผู้เชี่ยวชาญยอมรับว่าใน Metaverse จะมีการเฝ้าระวัง การรวบรวมข้อมูล และการแยกข้อมูล โดยข้อมูลของผู้ใช้จะถูกรวบรวมและแจกจ่ายมากขึ้น เนื่องจากการผสานของโลกเสมือนจริงและโลกแห่งความเป็นจริงทำให้สามารถเก็บข้อมูลต่าง ๆ ได้จากเซ็นเซอร์หลายตัว ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลส่วนบุคคล หรือแม้แต่อัตราการเต้นของหัวใจเมื่อมีการโต้ตอบในโซเชียลมีเดีย เพราะเมื่อคุณอยู่ใน Metaverse แล้ว ข้อมูลจะไม่ได้อยูภายการควบคุมของคุณอีกต่อไป จึงมักเป็นเป้าหมายของเหล่าแฮ็กเกอร์ที่ต้องการจะแฮ็กข้อมูล แน่นอนว่ามีการเสนอวิธีแก้ปัญหามากมายเพื่อปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น [2]: การสลับใบหน้าและการแมตต์จะไม่ได้ทำให้คุณปิดตัวตนได้อย่างเต็มที่ เว้นแต่คุณจะสามารถเข้ารหัสข้อมูลของคุณได้ การเข้ารหัสจากต้นทางถึงปลายทาง (End-to-end Encryption) จะปกป้องข้อมูลของคุณอย่างสมบูรณ์โดยใช้การส่งรหัสข้อความผ่านแอพ เช่น Signal, Telegram และ Wickr [3] อย่างไรก็ตามมีสัญญาณว่าการใช้การเข้ารหัสจากต้นทางถึงปลายทางกําลังจะสิ้นสุดลง รัฐบาลพยายามขอการเข้าถึงข้อมูลจากบริษัทเทคโนโลยีมานานแล้ว โดยเป็นการขออนุญาตการเข้าถึง “ประตูหลัง” (ทางลับสำหรับเข้าสู่โปรแกรมที่นักเขียนโปรแกรมมักจะกำหนดเป็นรหัสกันไว้ คนที่ไม่รู้รหัสหรือทางเข้าประตูหลัง ก็จะเรียกใช้โปรแกรมนั้นไม่ได้ คล้าย ๆ กับรหัสผ่าน) เป็นข้อความส่วนตัว รวมถึงในเร็ว ๆ นี้จะมีการบัญญัติพระราชบัญญัติ EARN IT [4] ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันเนื้อหาการล่วงละเมิดทางเพศเด็ก (CSAM) อีกด้วย แต่บทความเกี่ยวกับกฎหมายของสแตนฟอร์ด [5] ระบุว่า การเข้ารหัสจากต้นทางถึงปลายทาง “… มีแนวโน้มที่จะตกเป็นเป้าหมายว่าขัดกับแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการป้องกัน CSAM” เพราะถ้าหากการเข้ารหัสทำให้ไฟล์อ่านค่าไม่ได้ก็จะทำให้ตรวจหา CSAM ได้ยาก ดังนั้นหากผู้ออกกฎหมายไม่สามารถรื้อการเข้ารหัส End-to-end Encryption ได้สำเร็จก็จะทำให้แฮกเกอร์หรือผู้ไม่ประสงค์ดีสามารถเข้าถึงข้อความของคุณได้ [6] การกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ การกลั่นแกล้งทางอินเทอร์เน็ตเป็นประเด็นทางสังคมที่ใหญ่มาก โดยมีรายงานว่าประมาณ 16% ของเด็กวัยเรียนถูกล่วงละเมิดออนไลน์ [7] ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะตรวจจับการกระทำเหล่านี้ เนื่องจากผู้กระทำผิดสามารถทำเรื่องเหล่านี้ได้โดยไม่ระบุชื่อหรือใช้นามแฝง ซึ่งมักจะใช้วิธีการแฮ็คเข้าสู่บัญชีโซเชียลมีเดียของเหยื่อ และการเข้าไปใน Metaverse ก็เป็นการเปิดโอกาสให้คนที่ชอบกลั่นแกล้งคนอื่นและพวก Stalker (นักสะกดรอย) สามารถปกปิดตัวตนได้ จึงไม่แปลกใจเลยว่า Metaverse จะกลายเป็นสถานที่ที่มีการกลั่นแกล้งและการล่วงละเมิดเต็มไปหมด “ผู้เขียนจึงไม่แปลกใจกับการเกิดขึ้นของปัญหาการล่วงละเมิดเหล่านี้ เพราะปัญหานี้ยังไม่ได้รับการแก้ไข และเหมือนว่าตอนนี้ทุกคนก็ยังประมาท เพราะไม่มีใครคิดถึงเรื่องนี้เลย ก่อนที่จะเข้าไปใน Metaverse” ศาสตราจารย์ Brooke Foucault Welles ผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสาร [1] วิธีหนึ่งในการแก้ไขปัญหานี้คือการป้องกัน – เราสามารถจำกัดความสามารถของอวตารในการบล็อกคําหรือสถานการณ์บางอย่างที่น่าจะจัดเป็นการล่วงละเมิดหรือน่าจะเป็นพวกสะกดรอย (Stalker) ได้ ซึ่งคําหรือสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสมเหล่านั้นก็ไม่ได้หายไปจาก Metaverse เพียงแต่ผู้ใช้ได้รับการป้องกันจากมัน [2] แต่อย่างไรก็ตามเครื่องมือนี้ก็ใช้ไม่ได้ในทุกสถานการณ์ เพราะบางครั้งพฤติกรรมการล่วงละเมิดและการกลั่นแกล้งมันยากที่จะสังเกตและตรวจจับ วิธีการแก้ปัญหาอีกวิธีหนึ่งคือให้ผู้ใช้พยายามหลีกเลี่ยงหรืออยู่ให้ห่างจากพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมที่จะนำไปสู่การล่วงละเมิดได้ แต่ข้อเสียคือกว่าจะรู้ตัวผู้ใช้ ก็ถูกล่วงละเมิดไปแล้ว การโจรกรรมและสินค้าลอกเลียนแบบ สินค้าลอกเลียนแบบได้แพร่หลายใน Web 2.0 และแน่นอนว่ามันก็จะมีอยู่ใน Metaverse เช่นกัน ทางออกอย่างหนึ่งเพื่อกันการโจรกรรมแบบดิจิทัลคือลายน้ำ (Watermarking) ที่มองไม่เห็น ซึ่งบางทีเราก็เห็นว่าการใช้ลายน้ำไม่สามารถหยุดการโจรกรรมได้ [8] Blockchain อาจเป็นทางออกที่ช่วยแก้ปัญหาในเรื่องความเป็นเจ้าของ การตรวจสอบย้อนกลับและการถ่ายโอนทรัพย์สิน แต่อย่างไรก็ตาม Blockchain ก็ยังคงมีปัญหาเช่นกัน: MIT’s Technology Review เตือนว่า “แม้ความปลอดภัยในระบบ Blockchain จะถูกออกแบบมาอย่างดี แต่ก็อาจจะล้มเหลวได้เมื่อเจอกับเหล่ามนุษยที่มีความรู้ทางคณิตศาสตร์กับกฎเกณฑ์ของซอฟต์แวร์ และพร้อมที่จะทำการโจรกรรม” [9] การแก้ปัญหาแบบนิวเคลียร์ ทางออกที่ง่ายที่สุดในการแก้ปัญหาข้อกังวลด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวทั้งหลายทั้งมวลคือการห้ามผู้ใช้เข้าสู่ Metaverse ตั้งแต่แรกไปเลย [10] หากมาตรการ Draconian (ไว้เรียกกฎหมายที่มีบทลงโทษแรงมาก ๆ จนคนทั่วไปอาจจะมองว่ารุนแรงเกินไป) นั้นไม่บังคับใช้ แต่ถ้าหากคุณเลือกที่จะเข้าสู่ Metaverse คุณก็ควรรับความเสี่ยงด้วยตัวคุณเอง บทความโดย Stephanie Glenเนื้อหาจากบทความของ TechTargetแปลและเรียบเรียงโดย วิน เวธิตตรวจทานและปรับปรุงโดย นววิทย์ พงศ์อนันต์ อ้างอิง [1] Metaverse Privacy[2] Metaverse: Security and Privacy Concerns[3] What’s App Loses Millions of Users[4] Blackburn & Colleagues’ EARN IT Act Closer to Becoming Law[5] THE EARN IT ACT: HOW TO BAN END-TO-END ENCRYPTION WITHOUT ACTUALLY BANNING IT[6] Encryption: A Tradeoff Between User Privacy and National Security[7] Bullying at School and Electronic Bullying[8] Digital Watermarks[9] How secure is Blockchain really.[10] The social metaverse: Battle for privacy
17 May 2022

บทความ

Web 3.0 กับวิสัยทัศน์การปกป้องข้อมูลส่วนตัวแบบครบวงจร
Web 2.0 คือเหล่าเว็บไซต์ที่เรารู้จักกันดีในปัจจุบันถูกครอบงำโดยบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาบริษัทต่าง ๆ เช่น Google, Facebook, Amazon และอื่น ๆ ได้สร้างระบบนิเวศขนาดใหญ่ขึ้นโดยเข้าควบคุมบริการหลักๆ ของอินเทอร์เน็ต จนผู้ใช้อย่างพวกเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ( Web 3.0 และ การปกป้องข้อมูล ) การพึ่งพาผู้ให้บริการส่วนกลางแบบนี้นำไปสู่ปัญหามากมาย เช่น ระบบล่มไฟดับ ปัญหาที่เกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของข้อมูล การติดตามข้อมูลที่ไม่ปลอดภัย การเก็บกักข้อมูล และการใช้ PII (Personal Identifiable Information ข้อมูลส่วนบุคคลที่ทำให้ระบุตัวตนได้) ในทางที่ผิด เป็นต้น แม้ว่ารัฐบาลและหน่วยงานกำกับดูแล พยายามควบคุมการผูกขาดของเหล่าบริษัทศูนย์รวมของแหล่งบริการ แต่ก็ยังไม่สามารถควบคุมบริษัทเหล่านั้นได้มากนัก เราอยู่ในโลกที่โดน Social Media ครอบงำ Search Engine เว็บไซต์ E-commerce และเหล่าสถาบันการเงินมาทำหน้าที่เป็นผู้เฝ้าดูแลข้อมูลและแถมยังให้ข้อมูลประจำตัวออนไลน์แก่เราอีก เราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าองค์กรที่รวมศูนย์เหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มความตระหนักรู้และการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ แต่ในขณะเดียวกัน ปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ เช่น การขโมยข้อมูล การที่ข้อมูลถูกแฮ็ก หรืออคติที่เกิดบนแพลตฟอร์มหลัก ๆ เป็นหลักฐานให้เราไม่ต้องสงสัยเลยว่า Web 2.0 นั้นยังมีข้อบกพร่องที่แสนเจ็บปวดอยู่ Web 2.0 ยังเต็มไปด้วยกระบวนการที่เทอะทะ ผู้คนยังคงหวังให้ Web 2.0 ถูกพัฒนาให้ดีกว่านี้ในหลาย ๆ เรื่อง แต่ข่าวดีคือมันจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปต้องขอบคุณเทคโนโลยี Blockchain ที่พัฒนาขึ้น เราอยู่ในจุดที่จะเกิดการปฏิวัติอินเทอร์เน็ตครั้งใหญ่อีกครั้ง โดยผู้คนเรียกกันว่า Web 3.0 ที่จะเป็นอินเทอร์เน็ตเวอร์ชันใหม่ล่าสุดโดยใช้หลักการของการกระจายศูนย์ (คือในปัจจุบันไม่ว่าเราจะไปทำอะไรในเว็บไซต์ใด ข้อมูลของเราก็จะไปอยู่กับเว็บไซต์นั้น มันถึงเรียกว่ารวมศูนย์ แต่จากนี้มันจะต่างออกไป) ความโปร่งใส ความยุติธรรม ความปลอดภัย การควบคุมผู้ใช้ และการเป็นหนึ่งเดียว ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีหลายโครงการที่ขับเคลื่อนด้วย Blockchain ปรากฏขึ้นมากมาย ซึ่งช่วยให้ประโยชน์มากมายแก่ผู้ใช้เพราะทุกวันนี้พวกเราไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลยบนอินเทอร์เน็ต โครงการเหล่านี้สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้ใช้สามารถควบคุมข้อมูลของตนได้อย่างสมบูรณ์ รวมถึงการใช้งานและครอบคลุมไปถึงผู้ที่ต้องการแชร์ข้อมูลอีกด้วย และนี่คือ 3 ประเด็นในโครงการ Blockchain ที่เน้นความเป็นส่วนตัวซึ่งจะทำให้ Web 3.0 ให้โลกที่ดีกว่าเดิมสำหรับทุกคน 1.ให้คุณได้กลับมาควบคุมข้อมูลของคุณอีกครั้ง KILT Protocol ที่พัฒนาโดย BOTLabs GmbH เป็น Blockchain Protocol แบบ Open-source สำหรับการสร้างบัญชีผู้ใช้งานบน Web 3.0 ที่ตรวจสอบได้ รับรองการปกปิดตัวตน (Anonymous), และอยู่ในการควบคุมของผู้ใช้งาน พูดง่ายๆ ก็คือ เป็น Protocol ที่ช่วยให้คุณระบุตัวตนให้ตัวเองได้เองบนออนไลน์โดยไม่ต้องไปพึ่ง Third Parties ด้วย KILT Protocol คุณสามารถพิสูจน์หรือแสดงตัวตนของคุณโดยไม่ต้องเปิดเผยสิ่งที่คุณยังอยากให้เป็นส่วนตัว ซึ่ง Protocol นี้ได้รับการออกแบบในลักษณะที่สามารถสร้างตัวระบุตัวตนของเราได้หลากหลายสำหรับธุรกิจ บริการ หรืออุปกรณ์ใด ๆ ที่อาศัย การยืนยันตัวตน โดยพื้นฐานแล้วจะนำระบบการตรวจสอบในโลกแห่งความเป็นจริงโดยใช้ใบขับขี่ หนังสือเดินทาง และเอกสารอื่น ๆ มาสู่ Blockchain KILT Protocol ขับเคลื่อนโดย $ KILT Token เพื่อมาตอบสนองความต้องการของทั้งองค์กรและผู้ใช้รายบุคคล เมื่อเร็ว ๆ นี้แพลตฟอร์มได้เปลี่ยนเป็นเครือข่ายแบบกระจายศูนย์อย่างสมบูรณ์ โดยให้อำนาจการตัดสินใจสำหรับอนาคตของ Protocol แก่สมาชิก KILT Protocol จะเป็นพื้นฐานของเครือข่ายข้อมูลประจำตัวแบบกระจายศูนย์ (DID – Decentralized IDentity Network) ทำให้การใช้อัตลักษณ์แห่งอำนาจของตนเอง (SSI – Self-Sovereign Identity) ซึ่งก็คือแนวคิดที่ตัวตนของเราเป็นเจ้าของโดยสมบูรณ์ เราจึงสามารถทำอะไรก็ได้กับข้อมูลของเรา เมื่อผู้อื่นจะนำข้อมูลของเราไปใช้งานจำเป็นจะต้องขออนุญาตจากเจ้าของข้อมูลเสมอ ทีมงาน KILT เปิดตัวบริการ SocialKYC ในปี 2021 มันคือ Solution การระบุตัวตนดิจิทัลที่อนุญาตให้ผู้ใช้จัดการ จัดเก็บ และแสดงข้อมูลประจำตัวเพื่อควบคุมเหล่าบริการออนไลน์ที่เข้าถึงข้อมูลเราได้ ข้อมูลส่วนบุคคล บริการสามารถใช้ได้ผ่านกระเป๋าเงิน Sporran และในปัจจุบัน ก็ใช้จริงได้บน Twitter และอีเมล 2. ผสานการประมวลผลจากหลายที่เข้ากับ Blockchain Partisia ผู้นำอุตสาหกรรมด้าน Software Solutions ที่รองรับการประมวลผลจากหลายที่ หลายแห่งข้ามองค์กร (MPC) ได้เปิดตัว Partisia Blockchain เพื่อให้ตัว Web3.0 ได้รับความวางใจ ความโปร่งใส ความเป็นส่วนตัว พร้อมกับความเร็วที่มากขึ้น ด้วยการรวมคุณสมบัติของการประมวลผลแบบหลายที่ หลายแห่ง (MPC of Multi-Party Computation) เข้ากับคุณสมบัติดั้งเดิมของ Blockchain ทำให้ Partisia Blockchain ช่วยให้ผู้ใช้และองค์กรสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีการกระจายอำนาจ แถมยังนำเสนอความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูลชนิด End-to-end หรือข้อมูลส่วนตัวคุณจะได้รับการป้องกันแบบต้นทางยันปลายทาง หลังจากหลายปีของการวิจัยและการพัฒนา ทำให้ทีมงาน Partisia เพิ่มความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวหลายชั้นให้กับข้อมูลบนเครือข่ายได้สำเร็จ บริการของ Partisia จะทำงานบนระบบนิเวศทั้งแบบ On-chain, Off-chain และ Cross-chain ระบบนิเวศพวกนี้จะมีวิธีผูก Token จะตัว Blockchain ต่าง ๆ กันไป เพื่อให้มั่นใจได้ว่าระบบจะไม่ล้มเหลวหากจุดใดจุดหนึ่งในระบบล่มไป (No Single Point of Failure) โดยการกระจายการดำเนินการคำนวณของโมเดล MPC ของตนไปยังที่ต่าง ๆ ที่ไม่ซ้ำกันเพื่อให้แน่ใจว่าระบบกระจายศูนย์จริง ๆ ในระบบยังได้ออกแบบอีกด้วยว่า ผู้เข้าร่วมแต่ละรายเป็นถือเป็นหน่วยงานที่ดูแลในส่วนของการประมวลผลของตัวเอง และจะไม่มีการเข้าถึงข้อมูลของอีกฝ่ายได้ นอกจากนี้ Partisia Blockchain ยังรองรับคุณสมบัติ BYOC (Bring Your Own Coin นำเหรียญของคุณมาเอง) หมายความว่าผู้ใช้สามารถชำระค่าบริการโดยใช้ Token อื่น ๆ เช่น BTC หรือ ETH ก็ได้ด้วย 3.การป้องกันตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางจากการสอดแนมการสื่อสาร (Metadata Surveillance) Nym บริษัท Startup จากสวิตเซอร์แลนด์ ได้พัฒนา Solution ความเป็นส่วนตัวแบบใหม่สำหรับ Web 3.0 ที่ออกแบบมาเพื่อยุติ การสอดแนมการสื่อสาร (Metadata Surveillance) และการละเมิดข้อมูล (Data Breach) Nym ผสมผสานเทคโนโลยีความเป็นส่วนตัวที่หลากหลายเข้ากับระบบของ Node เครือข่ายที่ร่วมมือกันซึ่งให้ความเป็นส่วนตัวของข้อมูลแบบ End-to-end สำหรับทั้งในระดับเครือข่ายและระดับแอปพลิเคชัน ระบบนิเวศของ Nym...
1 April 2022

บทความ

CBDC: ระบบการเงินที่กำลังเปลี่ยนโลก และโอกาสของนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล, Part 1
ทุกวันนี้ พูดได้เลยว่า ไม่มีใครที่ไม่เคยได้ยินสกุลเงินคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัล (Digital Currency) ประเภทหนึ่ง โดยสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งเป็น “เงินบนอินเทอร์เน็ต” กล่าวคือ มีอยู่ ถูกจัดเก็บ ถูกใช้ ผ่านระบบดิจิทัลที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตทั้งหมด จากกระแสสกุลเงินดิจิทัล ธนาคารกลางแต่ละประเทศก็เริ่มตื่นตัวกับกระแสนี้ บทความนี้จะพาทุกท่านทำความรู้จักกับสกุลเงินดิจิทัลที่มาจากธนาคารกลาง หรือ Central Bank Digital Currency (CBDC) และคลื่นลูกใหม่แห่งความเป็นไปได้ที่อาจจะพลิกโฉมชีวิตทางการเงินของเราทุกคนในอนาคต รวมถึงโอกาสด้านการวิเคราะห์ข้อมูลที่จะเกิดขึ้นจากข้อมูลจำนวนมหาศาลที่จะเกิดขึ้นบนระบบทางการเงินดิจิทัลนี้ด้วย CBDC คืออะไร? CBDC คือ สกุลเงินดิจิทัลที่มีธนาคารกลางคอยกำกับดูแล เราอาจคุ้นหูในชื่อของ Digtal Yuan ของประเทศจีนหรือ Digital Thai Baht ของประเทศไทยมากกว่า แต่คำว่า CBDC ถือเป็นชื่อเรียกของนวัตกรรมนี้โดยรวม CBDC ถือเป็นเงินทางเลือก (เช่นเดียวกับ เงินสด และ ​​​เงินอิเล็กทรอนิกส์) เอาไว้ใช้ในกิจกรรมทางการเงินสำหรับประชากรที่อยู่อาศัยในประเทศนั้น สกุลเงินนี้จะถูกใช้อยู่บนกระเป๋าเงินดิจิทัล (บัญชีธนาคาร) และเราสามารถส่งเงินสกุลนี้ไปยังกระเป๋าเงินของบุคคลอื่นเพื่อใช้ในการชำระหนี้อย่างถูกกฎหมาย (เหมือนกับเงินสดทุกประการ) ธนาคารกลางจะมีหน้าที่กำกับดูแลระบบการใช้จ่ายนี้ในหลาย ๆ มิติ ได้แก่ ความปลอดภัยของระบบ ความสะดวกรวดเร็วในการทำธุรกรรม เสถียรภาพทางการเงินของสกุลเงินนี้ และ การวางรากฐานในการสร้างนวัตกรรมบนระบบนี้ เป็นต้น กล่าวโดยสรุปคือ CBDC เป็น “เงินสดในรูปแบบดิจิทัล” ที่รองรับโดยธนาคารกลางของแต่ละประเทศนั่นเอง CBDC เป็น “เงินสดในรูปแบบดิจิทัล” ที่รองรับโดยธนาคารกลางของแต่ละประเทศ CBDC แตกต่างจาก Internet Banking อย่างไร? ผู้อ่านหลาย ๆ ท่านอาจจะสงสัยว่า แล้วทุกวันนี้ ที่เราโอนเงิน รับเงินกันผ่านมือถือ ผ่านแอพต่าง ๆ เช่น เป๋าตัง, TMB Touch, SCB Easy มันก็เหมือนเราใช้เงินในรูปแบบดิจิทัลอยู่แล้วไม่ใช่หรือ แล้ว CBDC มันต่างจาก “เงินดิจิทัล” ที่เราใช้กันอยู่แล้วทุกวันนี้ บนแอพธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ อย่างไร? Internet Banking คือบริการที่อำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมทางการเงินของธนาคารพาณิชย์บนระบบการเงินแบบดั้งเดิม ในระบบการเงินนี้ ธนาคารพาณิชย์เป็นองค์กรธุรกิจทีมีหน้าที่รับฝากเงินจากลูกค้าและหากำไรจากการนำเงินเหล่านั้นไปลงทุน หรือปล่อยกู้เพื่อกินส่วนต่าง เงินที่เราฝากกับธนาคารพาณิชย์จะเป็นทรัพย์สินของธนาคารพาณิชย์ที่ตัวธนาคารสามารถไปสร้างผลกำไรต่อ และตัวเลขในบัญชีธนาคารคือหนี้สินของธนาคารที่มีต่อเรานั่นเอง ทุก ๆ ครั้งที่เราถอนเงินจากบัญชี เราได้ทำการขอคืนเงินของเราที่ให้ธนาคารยืมไป หากจะยกตัวอย่างกรณีสุดโต่งเพื่อให้เห็นภาพมากยิ่งขึ้น ธนาคารพาณิชย์เองก็สามารถล้มละลายได้ หากธนาคารพาณิชย์ปิดตัวลง เงินของเราที่ฝากในธนาคารก็มีความเสี่ยงที่จะหายไปด้วย โดยสรุป Internet Banking คือบริการเสริมจากบริการรับฝากเงินของธนาคารพาณิชย์ แต่ CBDC เปรียบเสมือนเงินสดบนระบบดิจิทัลรองรับโดยธนาคารกลาง ในอีกแง่หนึ่ง CBDC เป็นหนี้สินของธนาคารกลางที่มีต่อเรา (เช่นเดียวกันกับเงินสด) นอกจากนี้ CBDC จะถูกใช้งานอยู่บนระบบหลังบ้านในการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านระบบดิจิทัลจากธนาคารกลาง ระบบนี้จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของประเทศที่พัฒนารูปแบบของเงินให้อยู่บนระบบดิจิทัลแทน ระบบนี้นอกเหนือจากสามารถดำเนินการทำธุรกรรมทางเงินปกติแล้วนั้น ก็ยังรองรับการสร้างนวัตกรรมทางการเงินอื่น ๆ บนตัวระบบอีกด้วย โดยเฉพาะการเขียนสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) หรือการสร้างระบบการทำธุรกรรมอัตโนมัติโดยการกำหนดเงื่อนไขของการทำธุรกรรม (ซึ่งจะอธิบายเพิ่มเติมในบทความถัดไป) นอกเหนือจากนี้ CBDC ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อจะรองรับการเชื่อมต่อกับระบบดิจิทัลอื่น ๆ ที่จะตามมาอีกด้วย ตัวอย่างเช่น Asset Tokenization (การซื้อขายหน่วยสินทรัพย์บนระบบดิจิทัล), Digital Identity (ข้อมูลประจำตัวประชาชนบนระบบดิจิทัล), Digital Wallet (กระเป๋าสตางค์ดิจิทัล) เป็นต้น Internet Banking คือบริการที่อำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมทางการเงินของธนาคารพาณิชย์บนระบบการเงินแบบดั้งเดิม แต่ CBDC เปรียบเสมือนเงินสดบนระบบดิจิทัลรองรับโดยธนาคารกลาง CBDC แตกต่างจาก Cryptocurrency อย่างไร? CBDC และ Cryptocurrency ทั้งคู่เปรียบเสมือนโฉมหน้าของการเงินของอนาคต ทั้งสองทำงานอยู่บนระบบดิจิทัลเหมือนกัน เราสามารถโอนย้ายสินทรัพย์ต่าง ๆ โดยที่ไม่ถูกปิดกั้นจากข้อจำกัดทางกายภาพแบบเดิม ๆ ถึงกระนั้น ทั้งคู่มีความแตกต่างทางด้านเทคโนโลยีพื้นฐานและแนวคิดของการมีอยู่ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ทำให้สกุลเงินทั้งสองมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เรามาทำความเข้าใจเทคโนโลยีเหล่านี้ให้ดีขึ้นกันดีกว่า วิธีที่จะเข้าใจ Cryptocurrency ที่ดี คือให้จินตนาการว่า ถ้าเราอยากส่งเงินไปให้แม่ค้าออนไลน์เพื่อซื้อของ เราจะทำอย่างไร? ในปัจจุบัน เราใช้บริการธนาคารในการโอนเงินจากบัญชีของเราไปหาบัญชีของแม่ค้า ธุรกรรมนี้จะถูกบันทึกโดยธนาคาร เพราะเราเชื่อใจให้ธนาคารที่เก็บเงินและทำธุรกรรมให้เรา  นี้คือระบบการเงินในปัจจุบันที่เราอาศัย “ตัวกลาง” ในการทำธุรกรรมให้เรา (ดังในรูปที่ 4 ด้านซ้าย) แต่ในปัจจุบัน เทคโนโลยีบล็อกเชนอนุญาตให้มีระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ช่วยกันเก็บข้อมูลร่วมกันด้วยหลักการกระจายศูนย์ข้อมูล (Distributed Ledger Technology: DLT) และป้องกันไม่ให้ข้อมูลในอดีตถูกเปลี่ยนแปลงได้ด้วยศาสตร์การเข้ารหัส (Cryptography) เทคโนโลยีนี้จะเข้ามาสร้างผลกระทบในระบบการเงินปัจจุบัน ด้วยการสร้างระบบคอมพิวเตอร์กระจายศูนย์เพื่อร่วมกันบันทึกธุรกรรมการเงินที่เกิดขึ้นในระบบทั้งหมด (ดังในรูปที่ 4 ด้านขวา) โดยที่ตัว Cryptocurrency เองจะถูกใช้เป็นทั้งตัวทรัพย์สินและค่าบริการในระบบการทำธุรกรรมไร้พรมแดนนี้ ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงกล่าวว่า Cryptocurrency เป็นระบบการเงินที่ “ไร้ตัวกลาง” ในปัจจุบันการใช้งานเครือข่ายคอมพิวเตอร์นี้ช่วยสร้างอรรถประโยชน์อีกมากโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ยังพึ่งพาตัวกลาง ได้แก่ การฝาก-กู้เงิน การซื้อ-ขายพลังงานสะอาด การขอข้อมูลจากแหล่งข้อมูล (API) เป็นต้น ซึ่งตัวอย่างเหล่านี้ได้ก่อให้เกิดความต้องการในการใช้บริการระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ซึ่งนั่นส่งผลให้เหรียญ Cryptocurrency ที่ถูกใช้เป็นค่าบริการมีราคาที่เพิ่มสูงขึ้น โดยสรุปแล้ว Cryptocurrency เป็นสกุลเงินเพื่อใช้ในการโอนย้ายมูลค่า และใช้เพื่อจ่ายเป็นค่าธรรมเนียมในการใช้บริการในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์กระจายศูนย์ ส่วน CBDC เป็นเงินสดในระบบดิจิทัลที่ดูแลโดยธนาคารกลางเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำกิจกรรมทางการเงินในประเทศ หน้าที่อีกอย่างของธนาคารกลางคือการทำให้เงินสกุลนี้มีเสถียรภาพ ผ่านนโยบายทางการเงินต่าง ๆ นอกเหนือจากนี้ ธนาคารกลางยังมีหน้าที่ตรวจสอบการใช้เงินสกุลนี้ในกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย เช่น การฟอกเงิน และการก่อการร้าย เป็นต้น และท้ายที่สุด CBDC ก็พร้อมจะรองรับการสร้างเทคโนโลยีทางการเงินใหม่ ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในระบบ Cryptocurrency อีกด้วย แต่ทำงานโดยที่มีธนาคารกลาง/รัฐบาลดูแลอยู่ เพราะฉะนั้น CBDC เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ถูกกำกับดูแลโดยธนาคารกลาง ทั้งคู่เปรียบเสมือนเหรียญสองด้านของระบบการเงินในโลกอนาคต ธนาคารกลางมีเหตุผลในการควบคุม CBDC สกุลเงินนี้ เพราะมันเป็นตัวอำนวยความสะดวกในการทำกิจกรรมทางการเงินภายในประเทศ เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินนโยบายทางการเงินต่าง ๆ พร้อมทั้งป้องกันไม่ให้เกิดการนำเงินนี้ไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมาย ในขณะที่ Cryptocurrency เน้นทางด้านการใช้ประโยชน์จากระบบเก็บข้อมูลที่ไม่อาศัยตัวกลางใด ๆ และในบางเหรียญ เช่น Bitcoin ก็มีคุณค่าในการไม่สามารถถูกควบคุมโดยใคร และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเงินได้อีก ปัจจัยเหล่านี้สร้างความหนักใจให้กับรัฐบาลในการยอมรับ Cryptocurrency ให้มีการใช้งานจริงในประเทศ เพราะอาจทำให้รัฐบาล/ธนาคารกลางไม่สามารถออกนโยบายทางการเงินที่เกิดประสิทธิผลในประเทศได้ อย่างไรก็ดี ยังไม่มีอะไรที่แน่ชัดออกมาจากธนาคารกลาง เป็นไปได้ว่าความสัมพันธ์ของเงินสองสกุลนี้อาจจะเสริมซึ่งกันและกันก็เป็นได้ Cryptocurrency เป็นสกุลเงินเพื่อใช้ในการโอนย้ายมูลค่า และใช้เพื่อจ่ายเป็นค่าธรรมเนียมในการใช้บริการในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์กระจายศูนย์ ในขณะที่ CBDC เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ถูกกำกับดูแลโดยธนาคารกลาง ซึ่งในทั้งสองระบบ เราสามารถโอนย้ายสินทรัพย์ต่าง ๆ โดยที่ไม่ถูกปิดกั้นจากข้อจำกัดทางกายภาพแบบเดิม ๆ ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อระบบเศรษฐกิจจากการออก CBDC คนจะเข้าถึงบริการทางการเงินได้ทั่วถึงยิ่งขึ้น ในประเทศที่ยากจน ธนาคารพาณิชย์ที่มีขนาดใหญ่เลือกที่จะเปิดสาขาในพื้นที่ในเมืองไม่ใช่ชนบท เป็นเพราะว่า ธนาคารสามารถทำกำไรกับลูกค้าบริเวณนั้น ทำให้ประชาชนในพื้นที่ที่ห่างไกลไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างเท่าเทียม แต่เมื่อ CBDC มาแล้วนั้น...
24 June 2021
PDPA Icon

We use cookies to optimize your browsing experience and improve our website’s performance. Learn more at our Privacy Policy and adjust your cookie settings at Settings

Privacy Preferences

You can choose your cookie settings by turning on/off each type of cookie as needed, except for necessary cookies.

Accept all
Manage Consent Preferences
  • Strictly Necessary Cookies
    Always Active

    This type of cookie is essential for providing services on the website of the Personal Data Protection Committee Office, allowing you to access various parts of the site. It also helps remember information you have previously provided through the website. Disabling this type of cookie will result in your inability to use key services of the Personal Data Protection Committee Office that require cookies to function.
    Cookies Details

  • Performance Cookies

    This type of cookie helps the Big Data Institute (Public Organization) understand user interactions with its website services, including which pages or areas of the site are most popular, as well as analyze other related data. The Big Data Institute (Public Organization) also uses this information to improve website performance and gain a better understanding of user behavior. Although the data collected by these cookies is non-identifiable and used solely for statistical analysis, disabling them will prevent the Big Data Institute (Public Organization) from knowing the number of website visitors and from evaluating the quality of its services.

  • Functional Cookies

    This type of cookie enables the Big Data Institute (Public Organization)’s website to remember the choices you have made and deliver enhanced features and content tailored to your usage. For example, it can remember your username or changes you have made to font sizes or other customizable settings on the page. Disabling these cookies may result in the website not functioning properly.

  • Targeting Cookies

    "This type of cookie helps the Big Data Institute (Public Organization) understand user interactions with its website services, including which pages or areas of the site are most popular, as well as analyze other related data. The Big Data Institute (Public Organization) also uses this information to improve website performance and gain a better understanding of user behavior. Although the data collected by these cookies is non-identifiable and used solely for statistical analysis, disabling them will prevent the Big Data Institute (Public Organization) from knowing the number of website visitors and from evaluating the quality of its services.

Save settings
This site is registered on wpml.org as a development site. Switch to a production site key to remove this banner.