Business Intelligence

Business Intelligence

ข่าวและบทความที่เกี่ยวข้อง

All Business Intelligence

PostType Filter En

บทความ

5 ข้อดีที่นักวิทยาศาสตร์ข้อมูลได้รับจากการใช้ Microsoft Power BI
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ในยุคนี้อินเทอร์เน็ต และไอทีมีความสำคัญมากในวงการธุรกิจ แม้กระทั่งธุรกิจที่ให้บริการยานพาหนะก็ยังคงต้องใช้เว็บไซต์ ,แอปพลิเคชัน ซอฟต์แวร์ต่าง ๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น เทคโนโลยีในทุกวันนี้ก็พัฒนาไปอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง อีกทั้งหลายธุรกิจก็กําลังเผชิญกับปัญหาในการบริหารจัดการ กับข้อมูลจำนวนมาก ธุรกิจหล่านี้จึงต้องการตัวช่วย หรือแอปพลิเคชันพิเศษ เพื่อจัดการแก้ไขปัญหานี้ และนี่คือเหตุผลที่ BI และ Data Visualization เป็นที่ต้องการเป็นอย่างมาก ธุรกิจหลายพันแห่งจึงเลือกใช้แอปพลิเคชัน BI อย่าง Microsoft Power BI เพื่อตอบความต้องการในเรื่องนี้ แล้ว BI Solutions คืออะไรล่ะ BI Solutions ย่อมาจาก Business Intelligence Solutions ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถนำข้อมูลมาจัดทำรายงานได้สะดวกและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะซอฟต์แวร์นี้มีฟังก์ชันที่จะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถสร้างรายงานที่ตอบโจทย์ความต้องการของแต่ละบุคคลหรือแผนกได้ เพราะอะไร หลายธุรกิจจึงเลือกใช้ BI Solutions ธุรกิจจากอุตสาหกรรมต่าง ๆ กําลังใช้เครื่องมือพิเศษอย่าง Power BI ด้วยเหตุผลหลายประการดังนี้ เมื่อบริษัทของคุณใช้เครื่องมือ BI ที่มีประสิทธิภาพเช่น Microsoft Power BI การที่จะเดินไปถึงเป้าหมายนั้นไม่ใช่เรื่องยาก อย่างไรก็ตามในการดึงประสิทธิภาพการทำงานออกมาให้ดีที่สุดนั้นจะต้องใช้ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในการใช้ Microsoft Power BI มาจัดการด้วย ทําไม Power BI จึงเป็นทางเลือกที่ดีในการเลือก BI Solutions มีบริษัทในตลาดมากมายที่ให้บริการ BI Solutions แต่ Power BI ก็ยังคงเป็นตัวเลือกที่ธุรกิจจํานวนมากทั่วโลกชื่นชอบ และด้านล่างนี้คือเหตุผลที่ทำให้ Power BI เป็นผู้นำในหมู่บริษัทที่ให้บริการ BI Solutions จริง ๆ แล้วยังคงมีอีกหลายเหตุผลที่ Power BI เป็นเครื่องมือที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดสำหรับ BI และ Data Visualization เพราะ Power BI มีฟังก์ชันการใช้งานที่เรียบง่าย มีการอัปเดตอยู่เรื่อย ๆ รวมถึงช่วยในเรื่องของจัดการทรัพยากรในองค์กรอีกด้วย ซึ่งก็เป็นอีกส่วนนึงที่คนชื่นชอบ การจ้างที่ปรึกษา Power BI เพื่อสร้างประโยชน์ แน่นอนว่าPower BI เป็น Solutions BI ที่ใช้งานง่าย และในหลายองค์กรก็สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องมีการฝึกอบรมการใช้งานจากผู้เชี่ยวชาญก่อน แต่อย่างไรก็ตามในบางกรณีก็ต้องการคำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์ เช่น กรณีที่ต้องใช้ฟังก์ชันขั้นสูง เป็นต้น โดยนักวิเคราะห์เหล่านี้จะสามารถช่วยให้การใช้ภาษา R และฟังก์ชันขั้นสูงอื่น ๆ ใน Power BI ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น บทความโดย ImensoSoftwareเนื้อหาจากบทความของ TechTargetแปลและเรียบเรียงโดย วิน เวธิตตรวจทานและปรับปรุงโดย เมธิยาภาวิ์ ศรีมนตรินนท์
12 November 2022

บทความ

เครื่องมือธุรกิจอัจฉริยะที่นิยมในปัจจุบัน (BI Tools)
Gartner’s Magic Quadrant คือ ชื่อรายงานการวิจัยทางการตลาด (Market Research Reports) ซึ่งจะมีการจัดทำขึ้นทุกๆ 1 – 2 ปี จัดทำโดยบริษัท Garner Inc. ซึ่งเป็นบริษัทเพื่อการวิจัยและให้คำปรึกษาของประเทศสหรัฐอเมริกา มีจุดประสงค์เพื่อทำการวิเคราะห์เชิงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ในตลาด รวมทั้งทิศทาง, พัฒนาการของเทคโนโลยี และผู้มีส่วนร่วมกับผลิตภัณฑ์นั้น ๆ รายงานการวิจัยดังกล่าวจึงเป็นประโยชน์อย่างมากต่อบริษัทหรือองค์กรที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการและธุรกิจของตนเอง รวมไปถึงรายงานการวิจัยยังมีการบ่งบอกถึงจุดแข็งและข้อควรระวังเปรียบเทียบกันระหว่างผลิตภัณฑ์ ซึ่งในรูปด้านล่าง Gartner ได้แสดงจุดแข็งและข้อควรระวังในผลิตภัณฑ์ Business Intelligence Tools (BI Tools) โดย Vendor ต่าง ๆ จากรูปที่แสดงด้านบน ยิ่งตำแหน่งของผลิตภัณฑ์อยู่ด้านขวาของกราฟมาก แสดงว่าผู้พัฒนาซอฟต์แวร์มีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาซอฟต์แวร์ของตนเองให้ตอบโจทย์ความต้องการการใช้งานในตลาดผู้ใช้ปัจจุบัน และยิ่งอยู่ตำแหน่งของกราฟที่สูงมาก บ่งบอกถึง จำนวนผู้ใช้งานหรือส่วนแบ่งการตลาดที่สูงเช่นกัน โดยกราฟจะถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วน เพื่อแสดงความสามารถของแต่ละซอฟต์แวร์ ได้แก่ จากรายงานการวิจัยทางการตลาดของ Garner Inc. จะเห็นได้ว่า ถึงแม้ในปัจจุบันจะมีเครื่องมือธุรกิจอัจฉริยะมากมายจากหลากหลายผู้พัฒนา แต่ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายนั้นมี 3 เครื่องมือ นั่นคือ Power BI จาก Microsoft, Tableau จาก Salesforce และ Google Data Studio จาก Google ซึ่งต่างมีความสามารถในการดึงข้อมูลจากหลายแหล่งเพื่อสร้าง Dashboard โดยที่ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องมีทักษะการเขียนโปรแกรม อย่างไรก็ตาม แต่ละเครื่องมือมีความโดดเด่นและข้อจำกัดที่แตกต่างกันดังนี้ เนื่องจากแต่ละเครื่องมือธุรกิจอัจฉริยะล้วนแต่มีจุดเด่นและข้อจำกัดที่ไม่เหมือนกัน การเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมจำเป็นต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมในการใช้งานสำหรับแต่ละองค์กร ทั้งในมิติของราคา ค่าใช้จ่าย ที่องค์กรพร้อมลงทุน และความเหมาะสมนำไปประยุกต์ใช้กับเทคโนโลยีอื่นที่องค์กรใช้งานอยู่แล้วเดิม เพื่อให้เครื่องมือธุรกิจอัจฉริยะสามารถเชื่อมต่อกับข้อมูลที่องค์กรเก็บรวบรวมไว้อยู่เดิม และสามารถนำมาเสนอในรูปแบบแดชบอร์ดที่เหมาะสมกับการใช้งานจริงขององค์กร  เปรียบเทียบเครื่องมือธุรกิจอัจฉริยะ (BI Tools)   Power BI Desktop Tableau Google Data Studio จุดเด่น สามารถนำข้อมูลมากกว่าหนึ่งแหล่งและหลากหลายรูปแบบ เพื่อมาใช้วิเคราะห์ร่วมกันได้ ยกตัวอย่างเช่นการนำข้อมูลจากใน Excel มาวิเคราะห์คู่กับข้อมูลในฐานข้อมูล   ออกแบบเรียบง่ายสำหรับการใช้งาน ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องมีความรู้เชิงเทคนิคในการสร้างแดชบอร์ดที่ซับซ้อน   กรณีที่หน่วยงานมีการใช้ Microsoft office 365 อยู่แล้ว บุคลากรภายในองค์กรสามารถใช้ตัว PowerBI และเผยแพร่ต่อสาธารณชนผ่าน URL ได้เลย มีฟังก์ชันที่สามารถจัดการข้อมูลที่ซับซ้อนได้ ทำให้ขั้นตอนการทำความสะอาดข้อมูลมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น   มีซอฟต์แวร์เสริมส่วนที่ชื่อว่า Tableau Prep ที่สามารถใช้ออกแบบ data pipeline เพื่อไปแสดงผลไปยังแดชบอร์ด   มีประเภทกราฟให้เลือกหลากหลาย และสามารถปรับแต่งแต่ละกราฟได้อย่างละเอียด   สามารถเชื่อมต่อกับข้อมูลจากระบบต่าง ๆ ของ Google ได้ยกตัวอย่างเช่น Google Analytics, Adword, BigQuery   เน้นระบบคลาวด์ ที่สามารถใช้งานได้รวดเร็ว ในกรณีที่ทำงานกันกับซอฟต์แวร์อื่นของ Google   มีฟังก์ชันในการแชร์ตัวงานให้กับทีม เพื่อร่วมกันพัฒนาตัวแดชบอร์ดได้ กลุ่มผู้ใช้งาน เหมาะสำหรับผู้ที่มีความคุ้นชินการใช้งานของ Microsoft Excel  และเหมาะกับองค์กรที่ใช้ Microsoft Office 365 อยู่แล้ว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการวิเคราะห์ข้อมูลซับซ้อน ปรับสร้างกราฟแบบละเอียด เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นอยากลองใช้ Business Intelligence Tool เริ่มเปิด ใช้งานครั้งแรก 2015 2004 2016 ราคา $9.99/คน/เดือน (Power Bi Pro) $70/คน/เดือน(Tableau Creator) ฟรี รองรับการสร้าง/ปรับแต่ง Desktop Desktop Desktop และ Mobile ระบบปฏิบัติการ Windows เท่านั้น   Windows/macOS   ใช้งาน Online ผ่าน Web Browser ความเห็นของจากมุมมองผู้พัฒนาแดชบอร์ด   Power BI Desktop Tableau Google Data Studio ข้อได้เปรียบ ใช้งานง่าย สำหรับผู้ที่ไม่เคยใช้   สำหรับผู้ที่คุ้นชินการใช้งาน Microsoft Excel จะสามารถเรียนรู้การใช้งาน Power BI ได้เร็ว   ตัวเลือกกราฟหลากหลาย   สามารถแสดงข้อมูลเชิงแผนที่ได้พอใช้   Interaction บนกราฟค่อนข้างเร็ว ใช้งานง่าย สำหรับผู้ที่ไม่เคยใช้   ตัวเลือกกราฟหลากหลาย   สามารถแสดงข้อมูลเชิงแผนที่ได้ดี   Interaction บนกราฟรวดเร็ว ใช้งานได้ฟรี ข้อเสียเปรียบ มีค่าใช้จ่าย แต่มีเวอร์ชันทดลองใช้ที่สามารถใช้งานได้ฟรี ราคาค่อนข้างสูง การจัดการข้อมูลมีข้อจำกัดมาก   ตัวเลือกกราฟมีจำกัด   Interaction บนกราฟค่อนข้างช้า อ้างอิง เปรียบเทียบเครื่องมือธุรกิจอัจฉริยะ บทความเกี่ยวกับ Tableau Software บน Wikipedia เนื้อหาโดย พรรษพัชร์ บำรุงวงศ์ ตรวจทานและปรับปรุงโดย ปพจน์​ ธรรมเจริญพร
6 October 2022

บทความ

4 เหตุผลที่จะทำให้คุณตกหลุมรัก Box Plot
ในบทความนี้ ผมจะมาพาผู้อ่านทุกท่านทำความรู้จักกับ Box Plot แผนภาพอันทรงพลังที่ใช้ในการวิเคราะห์การกระจายตัวของข้อมูล บอกได้เลยว่าสามารถใช้วิเคราะห์ได้ดีไม่แพ้ Histogram เลยครับ! การวิเคราะห์การกระจายตัวของข้อมูล คำถามที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์การกระจายตัวของข้อมูล มีอยู่ในชีวิตประจำวันของเราทุกคน ยกตัวอย่างเช่น ซึ่งหลาย ๆ คน จะคุ้นเคยกับการตอบคำถามด้านบนด้วย Histogram ซึ่งก็ถือว่าเป็นตัวเลือก “คลาสสิก” เพราะทุกคนจะเคยเรียนรู้สิ่งนี้มาก่อนในวิชาคณิตศาสตร์ โดย Histogram เป็นการนำข้อมูลเชิงปริมาณ (Numerical Data) มา “นับจำนวนครั้ง” ที่พบค่าของข้อมูล ตามช่วงข้อมูลหรืออันตรภาคชั้น (Bins) และเมื่อเราสร้าง Histogram แล้ว เราสามารถตอบคำถามด้านบนได้หลากหลาย เช่น บทความนี้จะขอนำเสนอ 4 เหตุผลที่จะทำให้ผู้อ่านตกหลุมรัก Box Plot โดยจะมีการอธิบายรายละเอียดวิธีการทำงานของ Box Plot ภายในเนื้อหาด้วย เริ่มต้นที่เหตุผลข้อที่หนึ่งในส่วนถัดไปกันเลยครับ ? เหตุผลข้อ 1: Box Plot ประหยัดพื้นที่ ในยุคดิจิทัลทุกวันนี้ Business Intelligence, Visual Analytics, และ Data Visualization ได้เข้ามามีบทบาทในองค์กรต่าง ๆ ทั้งเรื่องการบริหารจัดการ การดูสถานะ การวางแผน และการตัดสินใจ ทำให้พื้นที่บนหน้าจออุปกรณ์พกพาต่าง ๆ ของเรากลายเป็น Real Estate ยุคใหม่ แน่นอนว่า การนำเสนอข้อมูลอะไรที่ใช้เนื้อที่เยอะเกินไป ดูจะไม่ค่อยคุ้มเสียแล้ว ซึ่งในการแสดงข้อมูลชุดเดียวกัน Box Plot สามารถย่อส่วนพื้นที่ที่จำเป็นต่อการแสดงข้อมูลจากแผนภาพสองมิติ (2D) เหลือเพียงมิติเดียว (1D) ทำให้เป็นแผนภาพที่เหมาะกับยุคดิจิทัลที่พื้นที่บนหน้าจอของเรามีจำกัด แต่ Box Plot ที่ถูกย่อส่วนลงมาแล้ว จะยังตอบคำถามหลาย ๆ คำถามได้เหมือน Histogram หรือไม่? เรามาดูเหตุผลข้อถัดไปกันครับ เหตุผลข้อ 2: Box Plot อัดแน่นไปด้วยข้อมูล แผนภาพ Box Plot ได้ชดเชยขนาดที่เล็ก ด้วยหลักการวาดส่วนสำคัญต่าง ๆ ของกล่องด้วยปริมาณที่สำคัญทางสถิติ ทำให้ Box Plot ยังคงให้ข้อมูลและข้อสังเกตได้หลากหลายประการ แต่ก่อนอื่นเราลองมาทำความรู้จักกับส่วนประกอบต่าง ๆ ของ Box Plot กันก่อนครับ Box Plot ประกอบไปด้วยส่วนของ “กล่อง” (Box) กับส่วนของ “หนวด” (Whiskers) และมีจุด ๆ แสดงข้อมูลจริง​ โดยอาจอยู่ได้ทั้งในและนอกหนวด (บางครั้งเราจะเห็นบางเวอร์ชันของแผนภาพที่โชว์จุดข้อมูลนอก Whiskers อย่างเดียว ก็ยังนับเป็น Box Plot อยู่) ซึ่งตำแหน่งของ Box และ Whiskers ถูกสร้างขึ้นมาได้ โดยตัวเลขทางสถิติทั้งหมดถึง 5 ตัวด้วยกัน เรียกรวมกันว่า The Five-Number Summary ประกอบไปด้วย: เพื่อยกตัวอย่างให้เห็นภาพ สมมติว่าเรานำข้อมูลอายุขัยของประชากรเพศชาย (Life Expectancy for Males) มาวางเรียงกัน จากน้อยไปหามาก แล้วหาค่าตามหลัก The Five-Number Summary แล้วคำนวณได้ว่า ค่าเหล่านี้ถูกนำไปใช้ทำจุดสำคัญต่าง ๆ บน Box Plot เป็นกล่องและหนวดนั่นเอง ดังภาพด้านล่าง ซึ่งมีข้อสังเกตว่า หากเราลองมาใช้ตัวเลข 5 ตัวนี้ แปลผล Box Plot เบื้องต้นกัน เราจะได้ข้อสังเกตหลาย ๆ อย่างได้ไม่ด้อยไปกว่า (หรือในบางมิติ เหนือกว่า) Histogram เช่น ท่านที่ช่างสังเกตจะพบว่ามีตำแหน่งสำคัญที่ผมยังไม่ได้อธิบายใน Box Plot คือตัวเลข 44 บนหนวด Whisker ข้างซ้าย และสิ่งที่น่าสงสัยอีกประการหนึ่งคือ เหตุใดค่า 80 ที่เป็น Maximum จึงไปอยู่บนปลายหนวดข้างขวาพอดี? เป็นความบังเอิญหรือไม่? ข้อสังเกต เหล่านี้สามารถถูกอธิบายได้ว่า จริง ๆ แล้ว จาก Five-Number Summary เราจะต้องมีการคำนวณปริมาณทางสถิติเพิ่มบางประการ กล่าวคือ: เราเอาค่า IQR มาคำนวณค่า​ปลายหนวดทั้งสองข้าง ดังนี้: เสมือนว่าเป็นการ “ขยาย” ตัวกล่องออกไปด้านข้างด้วยความกว้าง 1.5 เท่าของกล่อง แต่ขยายไม่เกินข้อมูลสูงสุดหรือข้อมูลต่ำสุดที่มีอยู่จริง ซึ่งกฎ 1.5 * IQR ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย โดยนิยามข้อมูลที่อยู่นอกช่วง [Q1 – 1.5 * IQR, Q3 + 1.5 * IQR] ได้ว่าเป็น ค่าสุดโต่ง หรือ Outliers (คือค่าเหล่านี้ นับว่าหายากมาก ๆ) ยกตัวอย่างเช่น ถ้าข้อมูลมีการกระจายตัวแบบปกติ (Normal Distribution) ข้อมูลที่อยู่นอกช่วง Lower Whisker และ Upper Whisker จะมีเพียง 0.7% เท่านั้น จึงถูกจัดเป็น Outliers เราจะเห็นได้ว่าแผนภาพ Box Plot ถึงแม้จะมีขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับ Histogram แต่ให้ข้อมูลและข้อสังเกตได้น่าสนใจหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะการกระจายตัว เช่น ข้อมูลเบ้ซ้ายหรือเบ้ขวา, ค่ากลางของข้อมูล, ช่วงของข้อมูลส่วนใหญ่, ช่วงของข้อมูลเกือบทั้งหมด, และค่าสุดโต่ง ซึ่งข้อสังเกตหลายข้ออาจสังเกตได้ง่ายกว่า Histogram ไม่ว่าจะเป็นค่ากลางมัธยฐาน, ค่าสุดโต่ง, ช่วงของข้อมูลส่วนใหญ่ เพราะมีตำแหน่งสำคัญต่าง ๆ ที่ถูกคำนวณและถูกกำกับอยู่ในแผนภาพอย่างชัดเจน หากท่านผู้อ่านได้อ่านมาถึงจุดนี้แล้วเริ่มรู้สึกหลงรัก Box Plot ผมขอเสนอเหตุผลอีกสองข้อที่จะทำให้ Box Plot น่าใช้งานมากขึ้นไปอีก เรามาดูข้อถัดไปกันเลยครับ เหตุผลข้อ 3: Box Plot ยืดหยุ่นในการนำเสนอ เนื่องจาก Box Plot เป็นแผนภาพ 1D ทำให้มีความยืดหยุ่นและสามารถถูกนำเสนอในรูปแบบแนวนอนหรือแนวตั้งก็ได้ ผมได้แสดงตัวอย่าง Box Plot ในแนวนอนด้านบนแล้ว เรามาดูตัวอย่างการนำเสนอ Box Plot ในแนวตั้ง ซึ่งผมจะนำเสนอพร้อมกับเหตุผลข้อสุดท้ายครับ...
7 September 2022

บทความ

มารู้จักกับคลังข้อมูล (Data Warehouse) แหล่งข้อมูลในการทำ Business Intelligence
โดยปกติฐานข้อมูลจะถูกแบ่งเป็นแบบสัมพันธ์ (SQL) หรือ NoSQL และแบบธุรกรรม (OLTP) แบบเชิงวิเคราะห์ (OLAP) หรือแบบผสม (HTAP) ซึ่งถ้าเทียบกับเมื่อก่อนแล้วนั้นฐานข้อมูลของแผนกและฐานข้อมูลที่ทำขึ้นเพื่อจุดประสงค์พิเศษมีการปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างมากในทางธุรกิจ ความพยายามสร้างฐานข้อมูลที่รวมเป็นหนึ่งเดียวกันสำหรับข้อมูลทั้งหมดทั่วบริษัทถูกจัดให้เป็นระบบทะเลสาบข้อมูล (Data Lakes) หากข้อมูลถูกทิ้งไว้ในรูปแบบเดิม และถูกจัดให้เป็นคลังข้อมูล ( Data Warehouse ) หากข้อมูลถูกเปลี่ยนไปสู่รูปแบบและเค้าร่างที่เหมือนกัน ข้อมูลส่วนย่อยของคลังข้อมูลเรียกว่าตลาดข้อมูล (Data Mart) ความหมายของคลังข้อมูล (Data Warehouse) โดยพื้นฐานแล้ว คลังข้อมูลคือฐานข้อมูลเชิงวิเคราะห์ ที่มักจะเป็นการวิเคราะห์แบบสัมพันธ์ที่สร้างมาจากแหล่งข้อมูลสองแห่งหรือมากกว่านั้นก็ได้ ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเก็บข้อมูลย้อนหลังซึ่งอาจมีระดับเป็นหน่วยเพตะไบต์ คลังข้อมูลมักจะมีระบบประมวลผลและหน่วยความจำที่สำคัญ เพื่อใช้ในการสืบค้นที่มีความซับซ้อนและการสร้างรายงาน ซึ่งคลังข้อมูลเหล่านี้มักจะเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญในการทำ Business Intelligence และ Machine Learning ทำไมถึงใช้คลังข้อมูล? สาเหตุสำคัญที่บริษัทใช้คลังข้อมูลระดับองค์กรหรือ Enterprise Data Warehouse (EDW) คือการที่ฐานข้อมูลที่ใช้ปฏิบัติการของคุณ (OLTP) สามารถจำกัดจำนวนและประเภทของดัชนีที่คุณสามารถสร้างได้ จึงทำให้การสืบค้นเชิงวิเคราะห์ช้าลง และเมื่อคุณคัดลอกข้อมูลเข้าสู่คลังข้อมูล คุณก็สามารถตั้งค่าดัชนีที่คุณต้องการได้ เพื่อให้คุณสามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้ดียิ่งขึ้น โดยไม่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการเขียนของฐานข้อมูล OLTP และอีกเหตุผลหนึ่งที่บริษัทต้องมีคลังข้อมูล ก็เพื่อให้บริษัทสามารถรวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่งมาทำการวิเคราะห์ได้ ตัวอย่างเช่น การใช้งาน OLTP ยอดขายของคุณอาจไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องสภาพอากาศในสถานที่ค้าขายของคุณ แต่ในทางกลับกันสิ่งที่จะได้ประโยชน์จากข้อมูลเหล่านี้คือการคาดการณ์ยอดขาย เพราะถ้าคุณเพิ่มข้อมูลสภาพอากาศย้อนหลังเข้าไปในคลังข้อมูล มันก็จะเป็นเรื่องง่ายที่จะนำข้อมูลมารวมกับโมเดลข้อมูลของยอดขายในหลายปีที่ผ่านมา คลังข้อมูลเมื่อเทียบกับ Data Lake หรือระบบทะเลสาบข้อมูล Data Lake หรือระบบทะเลสาบข้อมูลที่ใช้เก็บไฟล์ข้อมูลในรูปแบบดั้งเดิมนั้น โดยพื้นฐานแล้วคือ “Schema on Read” หมายความว่าโปรแกรมใด ๆ ที่อ่านข้อมูลจาก Data Lake จะต้องกำหนดประเภทและความสัมพันธ์ของมันเองกับข้อมูล ในทางกลับกันคลังข้อมูลคือ “Schema on Write” หมายความว่าประเภท ดัชนี และความสำพันธ์ของข้อมูลถูกกำหนดไว้กับข้อมูลขณะที่ถูกจัดเก็บใน EDW “Schema on Read” เหมาะสำหรับข้อมูลที่อาจถูกนำไปใช้ในหลากหลายบริบท และมีความเสี่ยงในการสูญเสียข้อมูลน้อย แต่ทว่ามีข้ออันตรายก็คือ ข้อมูลนั้นอาจไม่ถูกใช้งานเลย (Qubole ผู้ค้าขายเครื่องมือคลังข้อมูลแบบ Cloud สำหรับ Data Lake คาดคะเนว่า 90% ของข้อมูลใน Data Lake นั้นไม่ถูกนำมาใช้งาน) ส่วน “Schema on write” เหมาะสำหรับข้อมูลที่มีจุดประสงค์เฉพาะอย่าง และเหมาะสำหรับข้อมูลที่ต้องเกี่ยวพันอย่างเหมาะสมกับข้อมูลจากแหล่งอื่น แต่ก็มีข้อควรระวังคือ ข้อมูลที่ผิดรูปแบบอาจถูกทิ้งขณะนำเข้าเพราะมันไม่ได้เปลี่ยนรูปแบบให้เหมาะสมต่อประเภทข้อมูลที่ต้องการ คลังข้อมูลเมื่อเทียบกับตลาดข้อมูล (Data Warehouse vs Data Mart) คลังข้อมูลประกอบด้วยข้อมูลระดับบริษัท ในขณะที่ตลาดข้อมูลประกอบด้วยข้อมูลที่มุ่งเน้นเฉพาะสายงานธุรกิจ ตลาดข้อมูลอาจมีหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นแบบที่ขึ้นอยู่กับคลังข้อมูล แบบไม่ขึ้นอยู่กับคลังข้อมูล หรือแบบที่ผสมผสานทั้งสอบที่กล่าวไปข้างต้น ตลาดข้อมูลถูกสร้างขึ้นมาเพราะมันมีข้อดีหลายประการ ไม่ว่าจเป็น การใช้พื้นที่น้อยลง ให้ผลลัพธ์เร็วขึ้น และมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการน้อยกว่าคลังข้อมูลแบบเต็ม ตลาดข้อมูลจึงมักจะประกอบไปด้วยข้อมูลที่ถูกสรุปและคัดสรรไว้แล้ว แทนที่จะเป็นข้อมูลรายละเอียดอื่น ๆ ที่มีอยู่ในคลังข้อมูล สถาปัตยกรรมคลังข้อมูล โดยทั่วไป คลังข้อมูลมีสถาปัตยกรรมหลายระดับ ได้แก่ ข้อมูลเดิม ฐานข้อมูลสำหรับเป็นที่พักข้อมูล เครื่องมือ ETL (Extract (ดึง), Transform (เปลี่ยนรูปแบบ), and Load (ถ่ายเท)) หรือ ELT (Extract, Load, and Transform) ซึ่งการจัดเก็บข้อมูลอย่างเหมาะสมและเครื่องมือนำเสนอข้อมูล แต่ละระดับมีจุดประสงค์ต่างกัน ข้อมูลเดิมมักรวมไปถึงฐานข้อมูลการปฏิบัติงานจากยอดขาย การตลาด และส่วนอื่น ๆ ของธุรกิจ และยังอาจรวมถึงโซเชียลมีเดียและข้อมูลภายนอก เช่น แบบสำรวจและสถิติประชากร ระดับที่พักข้อมูลจัดเก็บข้อมูลที่ดึงมาจากแหล่งข้อมูล ถ้าแหล่งข้อมูลไม่มีโครงสร้าง เช่น ข้อความโซเชียลมีเดีย ก็จะต้องมีการกำหนดโครงสร้างขึ้นมา รวมถึงมีการตรวจคุณภาพและการนำไปใช้งานด้วย ทั้งนี้เพื่อกำจัดข้อมูลที่มีคุณภาพต่ำและแก้ไขความผิดพลาดทั่วไป โดยเครื่อง ETL จะดึงข้อมูล ดำเนินการทำแผนที่และการเปลี่ยนรูปแบบที่ต้องการ และถ่ายเทข้อมูลเข้าสู่ระดับการจัดเก็บข้อมูล  เครื่องมือ ELT จัดเก็บข้อมูลก่อนแล้วเปลี่ยนรูปแบบในภายหลัง เมื่อคุณใช้เครื่องมือ ELT คุณอาจใช้ Data Lake ด้วยและข้ามขั้นตอนที่พักข้อมูลแบบเดิมไป ระดับจัดเก็บข้อมูลของคลังข้อมูลประกอบด้วยข้อมูลที่สะอาดและเปลี่ยนรูปแบบแล้วซึ่งพร้อมสำหรับการวิเคราะห์ โดยการจัดเก็บข้อมูลแบบนี้เป็นการจัดเก็บข้อมูลเชิงสัมพันธ์แบบเน้นเป็นแถว แต่ก็อาจมีการเน้นแบบคอลัมน์ด้วยหรือมีดัชนีแบบ Inverted-list สำหรับการค้นหาข้อความเต็ม โดยคลังข้อมูลมักจะมีดัชนีมากกว่าการจัดเก็บข้อมูลในการดำเนินงาน เพื่อให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้เร็วขึ้น การนำเสนอข้อมูลจากคลังข้อมูลมักทำโดยการดำเนินการคิวรี SQL ซึ่งอาจใช้เครื่องมือ GUI มาเป็นตัวช่วยในการสร้างได้ นอกจากนี้คิวรี SQL ยังสามารถใช้สร้างตารางการแสดงผล แผนภูมิ Dashboard รายงาน และการคาดการณ์ได้ โดยใช้เครื่องมือ BI เข้ามาช่วย เมื่อไม่นานมานี้ คลังข้อมูลเริ่มมีการรองรับ ML ที่จะปรับปรุงคุณภาพของโมเดลและการคาดการณ์ ตัวอย่างเช่น Google BigQuery ได้เพิ่มประโยคคำสั่ง SQL เพื่อรองรับโมเดลการวิเคราะห์การถดถอยเชิงเส้นและโมเดลการวิเคราะห์การถดถอยโลจีสติกไบนารีสำหรับการแบ่งประเภท นอกจากนี้คลังข้อมูลบางแห่งมีการผสานเข้าด้วยกันกับเครื่องมือ Deep Learning Libraries และ Automated ML อีกด้วย คลังข้อมูลแบบ Cloud เมื่อเทียบกับคลังข้อมูลแบบติดตั้งภายใน (On Premise) คลังข้อมูลสามารถถูกนำมาใช้ได้หลาย ไม่ว่าจะเป็นแบบติดตั้งภายใน แบบ Cloud หรือแบบผสม ที่ผ่านมาคลังข้อมูลส่วนใหญ่มักเป็นแบบติดตั้งภายใน (On-Prem Data Warehouse) แต่ก็มีปัญหาในเรื่องต้นทุนค่าลงทุนและการขาดความสามารถในการปรับขนาดได้ของเซิร์ฟเวอร์ที่ติดตั้งภายในศูนย์ข้อมูล การติดตั้ง EDW เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นเมื่อผู้ค้าขายเริ่มให้บริการเครื่องมือคลังข้อมูล แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงมีหลายบริษัทที่มีแนวโน้มที่จะย้ายคลังข้อมูลทั้งหมดหรือบางส่วนเข้าสู้ระบบ Cloud เพื่อต้องการใช้ประโยชน์จาก EDW แบบ Cloud ที่สามารถปรับขนาดได้ รวมถึงสามารถเชื่อมต่อกับบริการ Cloud อื่น ๆ ได้อย่างง่ายดาย ข้อเสียของการใช้ข้อมูลหลายเพตะไบต์เข้าไปในระบบ Cloud คือค่าใช้จ่ายในการใช้งาน ทั้งสำหรับการจัดเก็บข้อมูลแบบ Cloud และสำหรับการประมวลผลคลังข้อมูลแบบ Cloud และหน่วยความจำ คุณอาจจะคิดว่าปัญหาหลักของการอัปโหลดข้อมูลหลายเพตะไบต์เข้าสู่ระบบ Cloud คือระยะเวลาในการอัปโหลด แต่ในปัจจุบันผู้ค้าขายระบบ Cloud แบบไฮเปอร์สเกลมีการโอนถ่ายข้อมูลแบบดิสก์ซึ่งมีศักยภาพสูง คลังข้อมูลแบบบนลงล่างเมื่อเทียบกับแบบล่างขึ้นบน มีแนวความคิดใหญ่ ๆ สองแนวเกี่ยวกับวิธีออกแบบคลังข้อมูล ความแตกต่างระหว่างสองแนวนี้เกี่ยวข้องกับทิศทางการหลั่งไหลของข้อมูลระหว่างคลังข้อมูลกับตลาดข้อมูล โดยปกติ การใช้งาน EDW ในส่วนงานด้านการประกันและการผลิต มักจะชอบวิธีการของแบบบนลงล่าง ส่วนส่วนงานด้านการตลาดมักจะชอบวิธีของคิมบัลล์ ระบบทะเลสาบข้อมูล ตลาดข้อมูล หรือคลังข้อมูล องค์กรของคุณควรเลือกแบบใด? สุดท้ายแล้ว การตัดสินใจทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับคลังข้อมูลของบริษัทขึ้นอยู่กับเป้าหมาย ทรัพยากร และงบประมาณของบริษัท คำถามแรกคือคุณจำเป็นต้องมีคลังข้อมูลหรือไม่ ถ้าสมมุติว่าต้องการ งานต่อไปคือการระบุแหล่งข้อมูลของคุณ ขนาด อัตราการเติบโตปัจจุบัน และสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่เพื่อใช้งานและวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้น หลังจากนั้นคุณสามารถเริ่มทดลองกับระบบทะเลสาบข้อมูล ตลาดข้อมูล และคลังข้อมูลเพื่อดูว่าอันไหนใช้ได้ดีกับองค์กรของคุณ ผู้เขียนแนะนำให้ทำการทดสอบความเป็นไปได้ด้วยข้อมูลเซตย่อยขนาดเล็ก โฮสต์ในระบบฮาร์ดแวร์ที่มีอยู่ภายในองค์กรหรือในการติดตั้งระบบ Cloud...
5 September 2022

บทความ

การพัฒนา Business Intelligence ด้วยธรรมาภิบาลข้อมูล
ธรรมาภิบาลข้อมูล (Data Governance หรือ DG) จะช่วยให้แน่ใจว่าข้อมูลของบริษัทซึ่งเป็นสินทรัพย์ธุรกิจที่มีค่าที่สุดนั้น ( Business Intelligence ) ได้รับการเก็บรักษาและนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยที่สุด ดังนั้นธรรมาภิบาลข้อมูลจึงจำเป็นต้องมีนโยบายขององค์กร กระบวนการ เทคโนโลยี และพนักงานรับผิดชอบในการพัฒนากรอบงานที่นำไปปฏิบัติได้ ตั้งแต่โครงสร้างหลักไปจนถึงระยะเวลาการนำไปใช้ กรอบธรรมาภิบาลข้อมูลบริษัท เป็นกรอบงานแบบองค์รวมที่เกี่ยวข้องกับบุคลากรที่มีคุณสมบัติเหมาะสม รวมถึงนโยบายและกระบวนการที่วางแผนไว้เพื่อใช้งานเทคโนโลยีข้อมูลขั้นสูงให้เกิดประโยชน์สูงสุด อีกทั้งเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นการเก็บรักษาและใช้งานข้อมูลในแบบที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด เป้าหมายหลักของธรรมาภิบาลข้อมูลของธุรกิจคือการเพิ่มคุณภาพของข้อมูล ลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการข้อมูล และควบคุมการเข้าถึงข้อมูลของทุกคนอย่างเคร่งครัด โดยปกติแล้ว วิธีการที่ธุรกิจใช้เพื่อบรรลุเป้าหมาย DG ของตนได้คือโดยการจัดตั้งนโยบาย มาตรฐาน และมาตรวัดที่เข้มงวด เพื่อไปให้ได้ผลลัพธ์ของการขับเคลื่อนด้วยข้อมูลตามที่ต้องการ โดยนโยบาย DG ในระดับพื้นฐานนั้นคือการออกกฎสำหรับการเข้าถึงและบริหารจัดการชุดข้อมูลขณะที่ยังคงยึดตามข้อบังคับด้านความเป็นส่วนตัวและการรักษาความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โรคระบาดเพิ่มมูลค่าของข้อมูลบริษัท ตามการศึกษาของ Teradata ที่ได้จัดทำขึ้นเมื่อตุลาคม 2020 ผู้ตอบแบบสำรวจ 91% เห็นด้วยว่าโรคระบาดทำให้มูลค่าของข้อมูลในองค์กรสูงขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ผู้บริหารที่ตอบแบบสำรวจ 94% เห็นด้วยว่า “ข้อมูลเป็นสินทรัพย์ที่สำคัญ” ในขณะที่ความสำคัญของข้อมูลเชิงลึกและการตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ มุมมองในอีกด้านคือ “garbage in, garbage out,” ซึ่งหมายถึงการตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลเชิงลึกหรือข้อมูลดิบที่ไม่มีคุณภาพ ก็จะส่งผลให้ได้ผลลัพธ์ที่ไม่ดี ซึ่งข้อมูลดิบที่แย่นั้นก็จะส่งผลกระทบในระยะยาวสำหรับธุรกิจ เพราะสามารถทำลายความไว้วางใจที่ลูกค้าและผู้ที่เกี่ยวข้องคนอื่นๆ มีให้ได้อย่างถาวร! ตามรายงานของ Gartner “87% ของธุรกิจทั้งหมด ไม่มีเครื่องมือ Business Intelligence หรือ  BI หรือการวิเคราะห์ข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ” ทำให้องค์กรเกือบทั้งหมดประสบปัญหากับการใช้งานสินทรัพย์ข้อมูลของตน Gartner ได้จัดกลุ่มองค์กรที่มี BI ต่ำว่าเป็นกลุ่ม “พื้นฐาน” หรือ “มีโอกาส”  Gartner กล่าวซ้ำว่าองค์กรในระดับพื้นฐานถูกจำกัดอยู่ในการวิเคราะห์แบบสเปรดชีต ขณะที่องค์กรในระดับที่มีโอกาสจะมีหน่วยธุรกิจที่ติดตามข้อมูลดิบที่สะสมไว้และงานการวิเคราะห์ต่าง ๆ โดยไม่มีการควบคุมที่เป็นศูนย์กลาง หนึ่งในสี่คำแนะนำของการศึกษาดังกล่าวคือการนำโปรแกรมธรรมาภิบาลข้อมูลไปใช้ในทุกองค์กรเพื่อเพิ่มความตระหนักถึงความสำคัญและผลประโยชน์ของ DG ในการบริหารจัดการข้อมูลและการวิเคราะห์ของบริษัท DG ในการวิเคราะห์เชิงธุรกิจหรือใน BI วิทยากรที่งาน Webinar เรื่องการกำกับดูแล BI ได้อธิบายว่า “การกำกับดูแล BI” และ “ธรรมาภิบาลข้อมูล” เป็นสองคำที่ใช้บ่อยในแวดวง BI นั้นค่อนข้างแตกต่างจากกัน Webinar นี้เจาะลึกเรื่องงานการกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องกับ BI บริษัทและคงจะมีประโยชน์ไม่น้อยสำหรับคนที่สนใจในด้านนี้ องค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลค่อย ๆ เลิกใช้โปรแกรมที่เฉพาะเจาะจงกับงาน ปัญหา Data Silos ค่อย ๆ หายไป ธุรกิจสมัยใหม่ต้อนรับ “Data Flows” ที่ต่อเนื่องในทุก ๆ แผนกและการทำงานที่หลากหลาย ด้วยความนิยมที่เพิ่มขึ้นของเทคโนโลยีรุ่นใหม่อย่างเช่น AI และการเรียนรู้ของเครื่องจักรกล (ML) ความสำคัญของคุณภาพของข้อมูลและธรรมาภิบาลข้อมูลก็เพิ่มขึ้นด้วย ตามการศึกษาเดียวกันของ Teradata ได้ระบุไว้ว่าผู้บริหารที่ตอบแบบสำรวจ 77% เชื่อว่าปัจจุบันนี้ “องค์กรมุ่งความสำคัญไปที่ความถูกต้องแม่นยำของข้อมูล” โดยปกติแล้วเมื่อข้อมูลทางธุรกิจถูกนำไปวิเคราะห์ต่อ เพื่อทำการเปรียบเทียบหรือเพื่อเป็นข้อมูลทางการแข่งขัน เราจะเรียกวิธีการนี้เรียกว่า Business Intelligence (BI) หรือการวิเคราะห์ข้อมูลในเชิงธุรกิจ ในกรณีของ BI โปรแกรมธรรมาภิบาลข้อมูลบ่งบอกถึง “ขั้นตอนของการนำไปปฏิบัติและบังคับใช้สิทธิอำนาจในการบริหารจัดการข้อมูลและแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้อง” ด้วย BI ที่สามารถกำกับดูแลข้อมูลได้ บริษัทคาดหวังที่จะทำการตัดสินใจที่ดีขึ้น และในระยะเวลาที่สั้นลง  ตามที่ผู้เฝ้าสังเกตการณ์ธุรกิจเห็น เมื่อเวลาผ่านไป ศักยภาพของ BI ขั้นสูงจะง่ายขึ้นและใช้งานได้ฟรี การศึกษาของ Forbes ยืนยันว่าองค์กรที่ใช้งาน BI ที่มี DG เป็นหลักซึ่งมีประสิทธิภาพต่างรายงานถึง “ผลกำไรที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก” จากการลงทุนใน BI ของพวกเขา Elizabeth Mixson (เอลิซาเบ็ธ มิกสัน) ผู้เขียน The Ultimate Guide to Data Governance ให้ความเห็นว่า “หัวใจของการวิเคราะห์ข้อมูลคือการกำกับดูแลข้อมูล แต่พระเอกตัวจริงที่ไม่ได้รับการพูดถึงคือณภาพของข้อมูล ความสามารถในการนำไปใช้งาน และการรักษาความปลอดภัย” วิธีที่จะกล่าวถึง เป็นวิธีการบางวิธีที่จะช่วยปรับปรุงการวิเคราะห์ข้อมูลขององค์กรและการใช่งาน BI: ธรรมาภิบาลข้อมูลสำหรับ BI แบบบริการตนเอง ในองค์กรส่วนใหญ่ เป้าหมายสำคัญของทีม DG คือการ “ลดความเสี่ยงของการใช้ข้อมูลอย่างไม่เหมาะสม” ตามคำพูดของนักเขียนที่ต้องการจะแบ่งปันเรื่องราวเบื้องหลังในการทำ DG สำหรับ Business Intelligence แบบบริการตนเองนั้น นักธุรกิจสายลุยมักจะใช้วิธีแก้ปัญหาที่สร้างสรรค์ของตนเพื่อหลีกเลี่ยงการลงโทษจาก “นโยบาย DG” ภายในองค์กรของพวกเขา ผู้กล้าเสี่ยงเหล่านี้ใช้ “ไฟล์ Excel และรายการ SharePoint ด้วยข้อมูลที่ป้อนเข้าไปเอง” เพื่อบรรลุเป้าหมายในวิธีของพวกเขาเอง วิธีประณีประนอมแบบคนละครึ่งทางก็คงจะเป็น BI แบบบริการตนเองที่มีการบริหารจัดการข้อมูลไว้แล้ว ทำให้นักธุรกิจเข้าถึงข้อมูลที่พวกเขาต้องการได้ง่ายขึ้น แต่อย่างไรก็ตามการเข้าถึงก็ยังคงอยู่ภายใต้ระบบและกระบวนการที่ทีม DG ตั้งไว้อย่างเคร่งครัด ซึ่งถ้าหากเป็นแบบนี้แล้วกลุ่ม DG และนักธุรกิจก็จะกลายเป็นพันธมิตรกัน โดยสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ภายใต้เงื่อนไขที่เข้มงวด สิ่งที่ดีที่สุดที่ได้จากบทความในลิงก์ด้านบนสรุปได้ว่า DG และ BI แบบบริการตนเองเป็นพันธมิตรต่อกันและเราก็ควรมองเช่นนั้น โครงการ DG โดยปกติจะเริ่มจากแผน แต่แผนมักจะเปลี่ยนเมื่อกลยุทธ์ขององค์กรเปลี่ยน ซึ่งการสร้างความสมดุลที่พิเศษนี้เกิดขึ้นได้ในบริษัทระดับโลกด้วยความช่วยเหลือของ Power BI ถ้ามองในแง่ BI ช่วยปรับปรุงการใช้งาน DG โดยการฝังการวิเคราะห์อย่างฉลาดเข้าไปในระบบและกระบวนการขององค์กร เป้าหมายสูงสุดของการใช้งาน DG แบบมี BI คือการก้าวผ่านมาตรวัดคุณภาพไปและเริ่มสำรวจต้นเหตุของความผิดพลาดในระบบ เช่น การสืบหาแหล่งที่มาของข้อมูลดิบที่ไม่ดี เฝ้าสังเกตการณ์ความถี่ของความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในระบบ หรือวิเคราะห์ว่าคุณภาพข้อมูลนั้นดีขึ้นหรือไม่เมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งการใช้งาน DG ที่มีการวิเคราะห์ที่ซับซ้อนแบบนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมี BI ฝังอยู่ในระบบ ธรรมาภิบาลข้อมูลสำหรับ BI: ตัวอย่างและผลประโยชน์ นี่คือตัวอย่างกรณีการใช้ DG สำหรับ BI ในบริษัท: ผลประโยชน์ของ DG สำหรับ BI: ขณะที่ BI บ่งชี้ถึงวิธีการบริหารจัดการข้อมูลที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีอย่างสูง DG อิงถึงกลยุทธ์แบบองค์รวมหรือกรอบงานสำหรับการทำให้เป้าหมายธุรกิจโดยรวมสอดคล้องกับเป้าหมายเชิงวิเคราะห์ของบริษัท  DG เปลี่ยนข้อมูลดิบให้เป็นสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ บทความโดย Paramita (Guha) Ghoshเนื้อหาจากบทความของ Dataversityแปลและเรียบเรียงโดย ไอสวรรค์ ไชยชะนะตรวจทานและปรับปรุงโดย นนทวิทย์ ชีวเรืองโรจน์
3 September 2022
PDPA Icon

We use cookies to optimize your browsing experience and improve our website’s performance. Learn more at our Privacy Policy and adjust your cookie settings at Settings

Privacy Preferences

You can choose your cookie settings by turning on/off each type of cookie as needed, except for necessary cookies.

Accept all
Manage Consent Preferences
  • Strictly Necessary Cookies
    Always Active

    This type of cookie is essential for providing services on the website of the Personal Data Protection Committee Office, allowing you to access various parts of the site. It also helps remember information you have previously provided through the website. Disabling this type of cookie will result in your inability to use key services of the Personal Data Protection Committee Office that require cookies to function.
    Cookies Details

  • Performance Cookies

    This type of cookie helps the Big Data Institute (Public Organization) understand user interactions with its website services, including which pages or areas of the site are most popular, as well as analyze other related data. The Big Data Institute (Public Organization) also uses this information to improve website performance and gain a better understanding of user behavior. Although the data collected by these cookies is non-identifiable and used solely for statistical analysis, disabling them will prevent the Big Data Institute (Public Organization) from knowing the number of website visitors and from evaluating the quality of its services.

  • Functional Cookies

    This type of cookie enables the Big Data Institute (Public Organization)’s website to remember the choices you have made and deliver enhanced features and content tailored to your usage. For example, it can remember your username or changes you have made to font sizes or other customizable settings on the page. Disabling these cookies may result in the website not functioning properly.

  • Targeting Cookies

    "This type of cookie helps the Big Data Institute (Public Organization) understand user interactions with its website services, including which pages or areas of the site are most popular, as well as analyze other related data. The Big Data Institute (Public Organization) also uses this information to improve website performance and gain a better understanding of user behavior. Although the data collected by these cookies is non-identifiable and used solely for statistical analysis, disabling them will prevent the Big Data Institute (Public Organization) from knowing the number of website visitors and from evaluating the quality of its services.

Save settings
This site is registered on wpml.org as a development site. Switch to a production site key to remove this banner.