GDPR

GDPR

ข่าวและบทความที่เกี่ยวข้อง

All GDPR

PostType Filter En

บทความ

เมื่อ Google Analytics ผิดกฎหมาย GDPR กับปัญหาที่ซ่อนอยู่ระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป แล้ว PDPA จะได้รับผลกระทบหรือไม่?
เมื่อปลายปีที่แล้ว สำนักงานคุ้มครองข้อมูลแห่งหนึ่งในยุโรปได้แถลงการณ์ถึงการใช้บริการติดตามผู้ใช้งานออนไลน์อย่าง Google Analytics ว่าขัดกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลยุโรป (General Data Protection Regulation: GDPR) สิ่งนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่กำลังใช้งาน Google Analytics เท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงการตัดสินใจเลือกใช้งานบริการออนไลน์บนแพลตฟอร์มที่อยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา และยังไม่รวมถึงการส่งข้อมูลระหว่างยุโรปและสหรัฐอีกด้วย มีอะไรที่ซ่อนอยู่ในปัญหาดังกล่าวและเราจะถอดบทเรียนอะไรได้จากแถลงการณ์ดังกล่าวกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของเราได้บ้าง? รายละเอียดของแถลงการณ์ เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2021 สำนักงานคุ้มครองข้อมูลของประเทศออสเตรีย (Datenschutzbehörde, Data Protection Authority: DPA) ได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับการร้องเรียนจากองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรชื่อ NOYB ว่าการใช้บริการการติดตามผู้ใช้งานออนไลน์ของ Google Analytics ว่าได้เปิดเผยข้อมูล IP Address ที่เก็บจากทวีปยุโรปแล้วไปปรากฎบนเซิร์ฟเวอร์ของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นการขัดต่อกฎหมายในเรื่องการปกปิดข้อมูลส่วนบุคคลระหว่างการใช้งาน “As the complainant has also rightly pointed out, US intelligence services take certain online identifiers (such as the IP address or unique identification numbers) as starting point for monitoring individuals.”“…อย่างที่ผู้ร้องเรียนได้ชี้ถึงประเด็นปัญหา หน่วยสืบราชการลับของสหรัฐสามารถใช้ข้อมูลระบุตัวตนบางอย่าง (อย่างเช่น IP Address หรือ ข้อมูลตัวเลขประจำตัว) เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นในการติดตามบุคคลได้…” สำนักงานคุ้มครองข้อมูลของประเทศออสเตรีย (Datenschutzbehörde, Data Protection Authority: DPA) การใช้งานข้อมูล IP Address ผิด GDPR อย่างไร? GDPR ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าข้อมูล IP Address เป็นข้อมูลส่วนบุคคลและไม่สามารถที่จะใช้งานข้อมูลนี้ได้แม้ว่าเราจะทำการแปลงข้อมูล IP Address นี้ให้เป็นข้อมูลนิรนามแล้วก็ตาม Google ไม่ได้นิ่งนอนใจ จึงได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ในบล๊อคของ Google จากกรณีดังกล่าว โดยกล่าวในภาพรวมของการรักษาความปลอดภัยในแง่มุมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการได้ปฏิบัติตามกฎหมาย GDPR ได้ง่ายขึ้น การส่งข้อมูลข้ามทวีปจะเกิดขึ้นเมื่อข้อมูลดังกล่าวเป็นไปตามกฎเกณฑ์ข้อบังคับความเป็นส่วนตัวเท่านั้น และสามารถเปิดใช้งานการปกปิดข้อมูล IP Address ได้ อย่างไรก็ตาม ทางฝั่งผู้คุมกฎดูเหมือนว่าจะไม่พอใจในมาตรการการใช้งานการปกปิดข้อมูล IP Address ด้วยการอำพรางข้อมูล (Pseudonymization) โดยยกคำแถลงจากสำนักงานคุ้มครองข้อมูลของประเทศเยอรมนีที่กล่าวถึงการใช้ข้อมูล IP Address ที่มีการอำพรางไว้ว่าถึงแม้จะมีการอำพรางเพื่อไม่ให้ค้นพบตัวตนที่แท้จริง แต่ก็ยังสามารถ ”จำแนกจำเพาะบุคคล” (distinguishable) จากข้อมูลนั้น ๆ ได้ เพราะฉะนั้นการใช้งานข้อมูล IP Address ในรูปแบบใด ๆ จึงผิดในทุกกรณี นอกจากนี้ ผู้ควบคุมกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในบางประเทศในทวีปยุโรปก็เห็นด้วยกับการที่ Google ผิดกฎหมาย GDPR ได้แก่ ผลกระทบที่จะเกิดขึ้น เรื่องการตัดสินกรณีการกระทำผิดกฎหมายของ Google Analytics นี้ไม่เพียงแต่จะกระทบบริษัท Google เพียงเท่านั้น แต่จะยังกระทบต่อบริษัทที่ดำเนินงานในประเทศสหรัฐแต่ขายบริการให้ในกลุ่มประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป เพราะการส่งข้อมูลส่วนบุคคลที่เก็บได้ในกลุ่มประเทศยุโรปไปให้บริษัทในประเทศสหรัฐในการวิเคราะห์จะไม่สามารถทำได้อีกต่อไป ทั้งนี้รวมถึงบริษัทในยุโรปที่ใช้บริการระบบคลาวด์คอมพิวเตอร์ที่มาจากสหรัฐก็จำเป็นต้องหาผู้ให้บริการเจ้าอื่น และกฎหมายยังเขียนไว้อีกด้วยว่าผู้ให้บริการที่มาจากทวีปอื่นจะสามารถให้บริการธุรกิจที่มาจากทวีปยุโรปได้ก็ต่อเมื่อกฎหมายคุ้มครองสิทธิความเป็นส่วนตัวในประเทศที่เก็บข้อมูลจะต้องมีความคุ้มครองที่มากกว่าหรือเท่ากันกับกฎหมายในทวีปยุโรป ซึ่งจำกัดแค่บริษัทที่ตั้งเซิร์ฟเวอร์ในประเทศยุโรปเท่านั้นที่สามารถทำธุรกิจออนไลน์ในทวีปนี้ได้ การแถลงการณ์ที่ออกมาดังกล่าวส่งผลให้เกิดต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างมากแก่หลายบริษัทขนาดเล็กในทวีปยุโรปในระยะสั้นที่จะต้องจัดหาบริการคลาวด์คอมพิวเตอร์จากผู้ให้บริการในทวีปตัวเอง อย่างไรก็ตามในระยะยาวแล้ว เราจำเป็นที่จะต้องติดตามการบังคับใช้กฎหมายนี้ต่อไปว่าจะเป็นเช่นไร สำหรับผู้ประกอบการในยุโรปที่ใช้งาน Google Analytics ในการประกอบธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักการตลาดที่ใช้ข้อมูลในพฤติกรรมผู้บริโภคในการทำการตลาดก็จะไม่สามารถทำได้อีกต่อไปจากเหตุการณ์นี้ ถึงแม้ว่าในตอนนี้จะยังไม่มีการประกาศแบนอย่างเป็นทางการ แต่เหล่าคนทำงานที่อยากจะปฏิบัติตามกฎระเบียบย่อมเลือกที่จะหันหลังต่อการบริการนี้ กฎหมายที่เหลื่อมกันของสองทวีป จากการรายงานข่าวนี้บนเว็บไซต์ TechCrunch Natasha Lomas นักข่าวอาวุโสได้เขียนสรุปความยุ่งเหยิงไว้ในประโยคเดียวว่า “ปัญหาที่แท้จริงของเรื่องนี้คือการปะทะกันระหว่างสิทธิความเป็นส่วนตัวของทวีปยุโรป (European privacy rights) และกฎหมายการสอดแนมของสหรัฐ (US surveillance law)” นี่อาจเป็นเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้ผู้ดูแลกฎของทางยุโรปถึงกลัวทางการสหรัฐ “โดยที่กฎหมายอย่างหลัง (สหรัฐฯ) ไม่แยแสต่อสิทธิส่วนบุคคลของชาติอื่นในการที่ทางการ (สหรัฐ) จะเก็บกวาดข้อมูลมาอย่างไรก็ตาม หรือแม้แต่การชดใช้ต่อความเสียหายจากการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลนี้” เธอกล่าวเพิ่มเติม เมื่อพูดถึงกฎหมายที่เฉพาะเจาะจงจริง ๆ ผู้ให้บริการคลาวด์คอมพิวเตอร์ที่อยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาจะต้องอยู่ภายใต้ Section 702 ของ Foreign Intelligence Surveillance Act ที่ให้อำนาจในการเก็บข้อมูลที่อยู่บนคลาวด์เซิร์ฟเวอร์ที่ตั้งอยู่ในสหรัฐและเป็นข้อมูลของพลเมืองที่ไม่ได้มีสัญชาติสหรัฐและไม่ได้พำนักอยู่ที่ในสหรัฐ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือว่ารัฐบาลสหรัฐมีสิทธิที่จะขอข้อมูลผู้ใช้บริการชาติอื่น ๆ จากผู้ให้บริการสัญชาติสหรัฐได้ถูกต้องตามกฎหมาย นั่นคงเป็นเหตุผลที่เพียงพอที่ทำให้ผู้คุมกฎของยุโรปกังวลว่าหากข้อมูลตกอยู่ในผืนแผ่นดินสหรัฐแล้วนั้น ความเป็นส่วนตัวของประชากรในสหภาพยุโรปจะหมดลง ถึงตรงนี้แล้ว ณ ขณะที่ทั้งสองฝ่ายมีการดำเนินธุรกิจร่วมกัน เป็นไปได้หรือไม่ที่ทั้งคู่จะมีข้อตกลงในการส่งข้อมูลถึงกัน เป็นกฎระเบียบที่มีการตกลงในบริษัทในแต่ละประเทศสามารถปฏิบัติได้ และถูกปกป้องจากกฎหมายพื้นเมืองในของพื้นที่นั้น ๆ แต่ทุกท่านทราบหรือไม่ว่าทั้งคู่นี้เคยพยายามที่จะให้มี ”ช่องทางการส่งข้อมูลส่วนบุคคล” ที่ไม่ผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตามด้วยความพยายามในหลาย ๆ ครั้งที่ผ่านมากลับจบด้วยความล้มเหลว ความพยายามในการส่งข้อมูลข้ามทวีป ความพยายามในการส่งข้อมูลข้ามทวีปเริ่มต้นขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2000 จากการที่คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) ได้เห็นชอบหลักการที่ร่างขึ้นโดยกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐในการส่งข้อมูลส่วนตัวข้ามทวีป หรือที่เรียกกันว่า Safe Harbour Privacy Principles โดยหลักการดังกล่าวเขียนขึ้นไว้เพื่อให้บริษัทในสหรัฐที่เก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานชาวยุโรปได้ทำตามเพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของทวีปยุโรป หลักการนี้ได้ช่วยให้ผู้ประกอบการธุรกิจออนไลน์ในสหรัฐสามารถทำธุรกิจได้อย่างถูกกฎหมายของทั้งสองประเทศคู่ค้า จนเมื่อปี 2015 ศาลยุติธรรมแห่งสหภาพยุโรป (European Court of Justice) ได้ตัดสินให้ ”การเห็นชอบต่อหลัก Safe Harbour Privacy Principles ของคณะกรรมาธิการยุโรปเป็นโมฆะ” (“The Court of Justice declares that the Commission’s U.S. Safe Harbour Decision is invalid.”) นั้นหมายความว่าการส่งข้อมูลระหว่างทวีปนั้นถือว่าไม่ชอบด้วยหลักการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของสหภาพยุโรป และกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของสหภาพยุโรปที่เพิ่งเกิดขึ้นภายหลังในปี 2018 แต่การตัดสินในครั้งในไม่ได้ก่อให้เกิดการยกเลิกการดำเนินธุรกิจในสหภาพยุโรปของสหรัฐ เพียงแต่ว่าเราต้องมีหลักการที่ดีกว่านี้ ด้วยความพยายามนี้ ก่อให้เกิดหลักการใหม่ที่เรียกว่า Privacy Shield Privacy Shield คือ ชื่อของโครงการใหม่ที่จะมากำหนดหลักการของส่งข้อมูลข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก หรือจะเรียกว่า New Safe Harbour ก็คงไม่ผิดนัก หลักการใหม่นี้ได้ทำให้ความคุ้มครองความเป็นส่วนตัวเพิ่มขึ้นมาโดยการเพิ่มอำนาจให้กับทางฝั่งผู้ตรวจสอบและผู้ใช้งานของทวีปยุโรป แต่นั่นก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้ถูกใช้งานหลังจากที่ศาลยุติธรรมแห่งสหภาพยุโรปก็ปัดตกไปเช่นเดิมในปี 2020 และล่าสุดในปีนี้ (2022) ประธานาธิปดีสหรัฐและประธานคณะกรรมาธิการยุโรปได้เตรียมตัวร่างหลักการอีกรอบนึงที่มีชื่อเรียกว่า Trans-Atlantic Data Privacy Framework ซึ่งจะเข้ามาแทนที่ Privacy Shield และตัวอื่น ๆ ที่เพิ่งปัดตกไป ในแง่หนึ่ง ความล่าช้าในการร่างมาตรฐานของการส่งข้อมูลส่วนบุคคลระหว่างกันนี้ได้ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในการทำธุรกิจ ซึ่งส่งผลให้แรงจูงใจในการทำธุรกิจระหว่างมหาสมุทรแอตแลนติกลดลง และเกิดค่าใช้จ่ายที่สูงมากขึ้นอย่างที่ได้กล่าวไป นอกจากนี้ ยังเป็นเป็นตัวยับยั้งไม่ให้ภาคธุรกิจได้สร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งอาจจะส่งผลให้ประเทศที่มีกฎระเบียบที่รัดกุมน้อยกว่าชนะในการแข่งขันการสร้างนวัตกรรมระหว่างประเทศ ประเทศไทยและ PDPA ประเทศไทยเพิ่งจะเริ่มใช้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือที่เราเรียกกันว่า PDPA...
31 July 2022

บทความ

การจัดทำข้อมูลนิรนาม (Data Anonymization)
ด้วยเหตุที่ความเป็นส่วนตัวกำลังถูกให้ความสำคัญโดยเฉพาะบนโลกดิจิทัลที่ข้อมูลจากแต่ละปัจเจกมีการผลิต และเคลื่อนไหวอยู่ในทุกขณะ นำไปสู่การยกร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 เพื่อปกป้องคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของเจ้าของข้อมูลของแต่ละคนไม่ให้ถูกนำไปใช้ในแนวทางที่จะนำไปสู่การละเมิดความเป็นส่วนตัว (Privacy) ของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล (Data Subject) อย่างไรก็ดีในมุมมองของผู้ประมวลผล หรือผู้ใช้ประโยชน์จากข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์นั้น ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพัวพันกับข้อมูลที่เข้าข่ายเป็นข้อมูลส่วนบุคคล แล้วจะมีทางใดบ้างที่จะช่วยทำให้มั่นใจว่าแนวปฏิบัติของตนนั้นไม่สุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดความเป็นส่วนตัวของเจ้าของข้อมูล? แนวปฏิบัติหนึ่งคือการทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลเหล่านั้นกลายเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถบ่งชี้ตัวบุคคลได้ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อของกระบวนการทำให้เป็นนิรนาม (Anonymization) นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Scientist) และผู้วิเคราะห์ข้อมูล (Data Analyst) หลายครั้งจำเป็นต้องมีการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อจะสามารถนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในการวางแผนการดำเนินการในธุรกิจของหน่วยงาน ด้วยเหตุนี้การปกป้องคุ้มครองข้อมูลเหล่านี้ไม่ให้เสี่ยงต่อการรั่วไหล หรือโจรกรรม การรักษาความปลอดภัย (Security Control) ข้อมูลจึงเป็นสิ่งสำคัญ อย่างไรก็ดี ไม่มีการรักษาความปลอดภัยใดสามารถการันตีว่าจะไม่ถูกโจมตีได้ 100% จึงนำไปสู่หลักการการเก็บ (และประมวลผล) ข้อมูลเฉพาะในส่วนที่สำคัญจำเป็น เก็บเฉพาะข้อมูลที่ต้องใช้ ตัวอย่างหนึ่งได้แก่การเปิดบัญชีกับธนาคารพาณิชย์ ธนาคารย่อมจำเป็นต้องใช้ข้อมูลระบุตัวบุคคล ได้แก่ ชื่อ นามสกุล เลขประจำตัวประชาชน ในขณะที่ข้อมูลศาสนา ที่แม้จะปรากฏบนหน้าบัตรประชาชน แต่อาจไม่ได้มีความจำเป็นใดในการดำเนินธุรกรรมระหว่างลูกค้ากับธนาคาร สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) นั้น โดยทั่วไปเราให้ความสำคัญกับภาพรวมแนวโน้มข้อมูลเพื่อวางแผนนโยบายเป็นสำคัญ การบ่งชี้ระบุตัวบุคคล (Identifying) นอกจากจะไม่ใช่สิ่งที่ไม่จำเป็นแล้วยังเป็นเรื่องที่พึงหลีกเลี่ยง เนื่องจากหากผู้วิเคราะห์สามารถล่วงรู้เจ้าของข้อมูลทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ อาจเกิดการดูแลอย่างเป็นพิเศษ (Special Treatment) อันจะนำไปสู่การวิเคราะห์ข้อมูลอย่างมีอคติ (Bias) ได้ ข้อมูลที่เข้าข่ายเป็นข้อมูลส่วนบุคคล โดยทั่วไปเราอาจจำแนกประเภทข้อมูลออกเป็น 3 ประเภท ขึ้นกับดีกรีความเข้มข้นในความสามารถในการระบุตัวตนเจ้าของข้อมูล ดังนี้ “ข้อมูลส่วนบุคคล หมายความว่า ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลซึ่งทำให้สามารถระบุตัวบุคคลนั้นได้ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม” พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 มาตรา 6 กระบวนการลดความเสี่ยงการระบุตัวตนของเจ้าของข้อมูลให้อยู่ในเกณฑ์น้อยมากจนแทบไม่ต้องให้ความสำคัญกับความเสี่ยง เรียกว่า การทำให้เป็นนิรนาม (anonymization) ถึงแม้ข้อมูลนิรนามจะไม่ถือเป็นข้อมูลส่วนบุคคล ดังจะเห็นได้จากการที่กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลสหภาพยุโรป (GDPR) ซึ่งถือเป็นกฎหมายต้นแบบของพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของไทย  ไม่ถูกบังคับใช้กับข้อมูลที่เป็นข้อมูลนิรนาม ดังระบุในอารัมภบท GDPR (Recital) ข้อที่ 26 ซึ่งให้คำจำกัดความของข้อมูลข่าวสารนิรนามว่าคือ “…ข้อมูลที่ไม่สัมพันธ์กับบุคคลที่ถูกระบุตัวตนหรือสามารถระบุตัวตนได้ใด ๆ หรือข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกทำให้ระบุตัวตนไม่ได้ด้วยวิธีการที่ทำให้ไม่สามารถระบุตัวตนเจ้าของข้อมูลได้หรือไม่สามารถระบุตัวตนได้อีกต่อไป ดังนั้นข้อกำหนดนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการประมวลข้อมูลนิรนามอันรวมไปถึงเพื่อวัตถุประสงค์ทางสถิติหรือการวิจัย” “ข้อมูลนิรนาม ได้แก่ ข้อมูลที่ไม่สัมพันธ์กับบุคคลที่ถูกระบุตัวตนหรือสามารถระบุตัวตนได้ใด ๆ หรือข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกทำให้ระบุตัวตนไม่ได้ด้วยวิธีการที่ทำให้ไม่สามารถระบุตัวตนเจ้าของข้อมูลได้หรือไม่สามารถระบุตัวตนได้อีกต่อไป ดังนั้นข้อกำหนดนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการประมวลข้อมูลนิรนามอันรวมไปถึงเพื่อวัตถุประสงค์ทางสถิติหรือการวิจัย” อารัมภบท GDPR (Recital) ข้อที่ 26 อย่างไรก็ดีศูนย์วิจัยกฎหมายและพัฒนา คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ตั้งข้อพึงระวังว่า แม้ลำพังชุดข้อมูลที่ผ่านการทำให้เป็นนิรนามอาจสามารถระบุตัวตนเจ้าของข้อมูลได้ยากจนถึงขั้นไม่ได้เลย แต่หากวันดีคืนดีหากมีข้อมูลแวดล้อมเพิ่มเติมอาจทำให้สามารถระบุตัวตนเจ้าของข้อมูลได้ เนื่องจากข้อมูลเดิมอาจยังมีความสามารถในการถูกนำไปเชื่อมโยง (Linkability) เพื่อนำไปพิจารณาร่วมกับข้อมูลแวดล้อมอื่น นั่นหมายความว่าข้อมูลที่ผ่านการทำให้เป็นนิรนาม “อาจ” ยังคงเข้าข่ายนิยามของข้อมูลส่วนบุคคลตามที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 มาตรา 6 หากสามารถระบุตัวบุคคลได้ในทางอ้อม เทคนิควิธีการจัดทำข้อมูลนิรนาม (Anonymization) เพื่อกำหนดแนวทางในการแปลงข้อมูลส่วนบุคคลให้เป็นข้อมูลนิรนาม คณะที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญสหภาพยุโรปด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ได้เผยแพร่แนวปฏิบัติว่าด้วยเทคนิคการจัดทำข้อมูลนิรนามในความเห็น WP216 (2014) โดยแบ่งกลุ่มเทคนิคการจัดทำข้อมูลนิรนามออกเป็นสองพวก ได้แก่ ทั้งนี้ยังมีเทคนิคอีกกลุ่มหนึ่งที่ช่วยลดความเสี่ยงในการระบุตัวตน ได้แก่ เทคนิคในกลุ่มที่เน้นการกับข้อมูลระบุตัวตนที่ชัดแจ้ง เช่น รหัสประจำตัว, ชื่อ, นามสกุล ฯลฯ โดยอาจเป็นในลักษณะของการลบทิ้ง (Removal), แทนด้วยค่าศูนย์ (Nulling out), ปิดทับข้อมูล (Masking out) ทั้งหมดหรือบางส่วน, การสลับอักขระ (Scrambling) ฯลฯ อย่างไรก็ดีเทคนิคกลุ่มนี้มักไม่สามารถการันตีความเป็นนิรนามของข้อมูลได้ แต่เป็นเทคนิคที่ถูกนำไปใช้ประกอบกับเทคนิคอื่น ๆ ที่กล่าวมาข้างต้นเพื่อลดความสามารถในการระบุตัวตนของข้อมูล เทคนิควิธีการจัดทำข้อมูลแฝง (Pseudonymization) ในขณะที่กระบวนการจัดทำข้อมูลนิรนามมุ่งเน้นการจัดการแต่ละข้อมูลไม่ให้สามารถสืบสาวถึงตัวตนของเจ้าของข้อมูลได้ อย่างไรก็ดีในบางกรณีการระบุตัวตนเจ้าของข้อมูลอาจมีความจำเป็นแต่ให้สามารถทำได้ผ่านช่องทางที่ออกแบบไว้เท่านั้น กระบวนการดังกล่าวเรียกว่าการแฝงข้อมูล (Pseudonymization) ซึ่งช่วยลดทอนหรือจำกัดความสามารถในการเชื่อมโยงข้อมูลชุดนั้น ๆ เข้ากับชุดข้อมูลอื่น (นอกเหนือจากที่วางแผนไว้) เทคนิคพื้นฐานในการแฝงข้อมูล เช่น การเข้ารหัสข้อมูล (Encryption), การเข้าฟังก์ชันแฮช (Hashing) และ การเก็บข้อมูลแยกส่วนโดยเชื่อมผ่านโทเค็น (Tokenization) เป็นต้น เราควรใช้เทคนิคไหนเพื่อลดความสามารถในการระบุตัวตน กระบวนการทางเทคนิคที่กล่าวมาข้างต้นช่วยลดความสามารถในการระบุตัวบุคคลลง อย่างไรก็ดีแต่ละเทคนิคล้วนมีข้อดีข้อบกพร่องแตกต่างกันออกไป การคุ้มครองความเป็นส่วนตัว (Privacy) ที่รัดกุมจำกัดรูปแบบการการนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ (Utility) การเลือกรูปแบบเทคนิคที่จะใช้คุ้มครองความเป็นส่วนตัวจึงต้องคำนึงถึงรูปแบบวิธีการใช้ข้อมูลประกอบด้วย เพื่อลดความสามารถในการระบุตัวตนเจ้าของข้อมูล อันจะช่วยคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของเจ้าของข้อมูล คณะที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญสหภาพยุโรปด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลจึงได้ระบุรูปแบบความเสี่ยงอันมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่การระบุตัวตนเจ้าของข้อมูลได้เป็น 3 รูปแบบ ได้แก่ การแบ่งแยกจากกลุ่ม ความสามารถเชื่อมโยง และการอนุมาน เป็นการยากที่จะบอกว่าเทคนิคใดเป็นเทคนิคที่ดีที่สุด ในทางปฏิบัติเทคนิคเดียวกันอาจมีระดับความเสี่ยงที่ต่างกันในกรณีใช้งานที่ต่างกัน ผู้ควบคุมข้อมูลจำเป็นต้องพิจารณาการใช้งานข้อมูลประกอบผ่านการประเมินความเสี่ยงในสามรูปแบบที่ยกมาข้างต้น ในเบื้องต้นอาจพิจารณาตารางภาพรวมความเสี่ยงได้จากตารางด้านล่าง Singling out still a risk Linkability still a risk Inference still a risk Noise Addition Yes May not May not Substitution Yes Yes May not Aggregation (K-anonymity) No Yes Yes L-diversity No Yes May not Differential Privacy May not May not May not Hashing/Tokenization Yes Yes May not ตารางภาพรวมความเสี่ยงของแต่ละเทคนิคสำหรับใช้ลดความสามารถในการระบุตัวตนเจ้าของข้อมูล (สรุปภาพรวมโดย Burton 2016) บทสรุป การจัดทำข้อมูลนิรนามและการจัดทำข้อมูลแฝงเป็นกระบวนการสำคัญในการดูแลรักษาความเป็นส่วนตัวของเจ้าของข้อมูล อันเป็นองค์ประกอบสำคัญหนึ่งในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล วิธีการจัดทำข้อมูลนิรนามสามารถจัดทำได้หลากหลายวิธีซึ่งมีความซับซ้อน ความเหมาะสม ข้อดี และข้อด้อยที่แตกต่างกันออกไป การเลือกเทคนิควิธีที่เหมาะสมจึงจำเป็นต้องพิจารณาเป็นกรณีไป แนวทางหนึ่งที่จะช่วยให้สามารถเลือกใช้เทคนิควิธีที่เหมาะสมสามารถทำได้โดยการประเมินความเสี่ยงที่ข้อมูลชิ้นดังกล่าวจะถูกนำไปใช้ระบุตัวตนผ่านสามรูปแบบ คือ การแบ่งแยกจากกลุ่ม ความสามารถเชื่อมโยง และการอนุมานข้อมูล คงเป็นเรื่องยากเทคนิควิธีหนึ่งวิธีใดที่สามารถลดความเสี่ยงทั้งสามรูปแบบให้เหลือศูนย์ ในความเป็นจริงความเสี่ยงในบางรูปแบบอาจสามารถยอมรับได้เพื่อลดความเสี่ยงในรูปแบบอื่นที่ไม่สามารถยอมรับได้ให้เหลือน้อยที่สุด สิ่งสำคัญจึงเป็นการเลือกและออกแบบรูปแบบการจัดทำข้อมูลนิรนามหรือการจัดทำข้อมูลแฝงที่จะลดความเสี่ยงที่ไม่สามารถยอมรับได้ให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้โดยที่ยังสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้อย่างเต็มศักยภาพ เขียนโดย พีรดล สามะศิริตรวจทานและปรับปรุงเนื้อหาโดย อนันต์วัฒน์ ทิพย์ภาวัต
28 December 2021
PDPA Icon

We use cookies to optimize your browsing experience and improve our website’s performance. Learn more at our Privacy Policy and adjust your cookie settings at Settings

Privacy Preferences

You can choose your cookie settings by turning on/off each type of cookie as needed, except for necessary cookies.

Accept all
Manage Consent Preferences
  • Strictly Necessary Cookies
    Always Active

    This type of cookie is essential for providing services on the website of the Personal Data Protection Committee Office, allowing you to access various parts of the site. It also helps remember information you have previously provided through the website. Disabling this type of cookie will result in your inability to use key services of the Personal Data Protection Committee Office that require cookies to function.
    Cookies Details

  • Performance Cookies

    This type of cookie helps the Big Data Institute (Public Organization) understand user interactions with its website services, including which pages or areas of the site are most popular, as well as analyze other related data. The Big Data Institute (Public Organization) also uses this information to improve website performance and gain a better understanding of user behavior. Although the data collected by these cookies is non-identifiable and used solely for statistical analysis, disabling them will prevent the Big Data Institute (Public Organization) from knowing the number of website visitors and from evaluating the quality of its services.

  • Functional Cookies

    This type of cookie enables the Big Data Institute (Public Organization)’s website to remember the choices you have made and deliver enhanced features and content tailored to your usage. For example, it can remember your username or changes you have made to font sizes or other customizable settings on the page. Disabling these cookies may result in the website not functioning properly.

  • Targeting Cookies

    "This type of cookie helps the Big Data Institute (Public Organization) understand user interactions with its website services, including which pages or areas of the site are most popular, as well as analyze other related data. The Big Data Institute (Public Organization) also uses this information to improve website performance and gain a better understanding of user behavior. Although the data collected by these cookies is non-identifiable and used solely for statistical analysis, disabling them will prevent the Big Data Institute (Public Organization) from knowing the number of website visitors and from evaluating the quality of its services.

Save settings
This site is registered on wpml.org as a development site. Switch to a production site key to remove this banner.