Metaverse

Metaverse

ข่าวและบทความที่เกี่ยวข้อง

All Metaverse

PostType Filter En

บทความ

รถ Formula 1 เครื่องผลิตข้อมูลที่วิ่งได้กว่า 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง
การแข่งรถ Formula 1 หรือ F1 ซึ่งเป็นการแข่งขันความเร็วของรถยนต์ที่แต่ละค่ายบริษัทรถยนต์พัฒนาขึ้น ถือเป็นหนึ่งในกีฬาที่มีความนิยมสูงที่สุดในโลก อย่างไรก็ดีการตัดสินผู้ชนะในกีฬา F1 มีหลากหลายปัจจัย ไม่ใช่แค่ว่าทีมที่มีรถยนต์ที่เร็วที่สุดในสนามจะเป็นผู้ชนะเสมอไป ดังนั้นการนำข้อมูลมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเลยเป็นสิ่งจำเป็น พวกเขาข้อมูลกันแบบไหนสามารถติดตามได้ในบทความนี้ครับ
20 October 2022

บทความ

เปลี่ยนออฟฟิศที่ทํางานสู่โลกเสมือนจริง VR
การผสาน Metaverse กับโลกความเป็นจริงโดยใช้เทคโนโลยี Virtual Reality จะให้การทํางานในองค์กรของคุณไม่เหมือนเดิมอีกตลอดกาล ( VR เเละ Metaverse ) แน่นอนว่า คุณต้องเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับ Metaverse มาบ้าง Metaverse เป็นโลกเสมือนจริง (Virtual Reality) ที่ผู้ใช้งานสามารถโต้ตอบซึ่งกันและกัน สามารถทำกิจกรรมร่วมกันเหมือนอยู่ในสถานที่เช่นเดียวกับที่พวกเขาทําในโลกแห่งความเป็นจริง เพียงแต่ Metaverse ทำให้การมาเจอกันหรือโต้ตอบซึ่งกันและกันสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น (คือไม่ต้องเสียเวลาเดินทางมาเจอกันนั่นเอง) โดยเราสามารถสร้าง Metaverse ขึ้นมาได้โดยการใช้แอปพลิเคชัน เช่น การสร้างภาพ 3 มิติ การสัมมนา การฝึกอบรมพนักงานและการประชุมเสมือนจริง รวมถึงการซื้อขายเกมใน Metaverse จึงทำให้เราเชื่อมั่นได้ว่า Metaverse นี่แหละจะสรรค์สร้างสถานที่ทํางานเป็นแบบใหม่ทั้งหมด การที่ Metaverse ทำให้ผู้ใช้งานสามารถโต้ตอบซึ่งกันและกันได้นั้น ถูกนำมาเป็นรากฐานในการปรับการทำงานขององค์กรใหม่ทั้งหมด โดยมุ่งเน้นไปที่วิธีที่ผู้คนโต้ตอบและที่ ๆ คนๆ นั้นทำงานอยู่ “เมื่อ VR ได้รวมคนในองค์กรเข้าด้วยกัน เราจะเริ่มเห็นการสร้างที่ทำงานเสมือนจริง การฝึกอบรมด้านเทคนิคที่สมจริงยิ่งขึ้น และวิธีการใหม่ในการใช้แบบจําลองดิจิทัลเพื่อช่วยให้พนักงานตัดสินใจในการดําเนินงานได้ดีขึ้น”  กล่าวโดยคุณ Yusuf Tayob หัวหน้าผู้บริหาร Accenture Operations หน่วยงานที่ช่วยให้ลูกค้าปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงการดำเนินธุรกิจ VR มีศักยภาพที่จะยกระดับอุตสาหกรรมจํานวนมาก ซึ่งส่งผลกระทบต่อทุกสาขา ทุกภาคอุตสาหกรรม มันช่วยเปลี่ยนแปลงทั้งในวิธีการสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าและวิธีการทำงานภายในองค์กรเอง James Lloyd Townshend ประธานและ CEO ของผู้ให้บริการความสามารถด้านเทคโนโลยี Revolent Group กล่าว การนำ VR มาใช้ในองค์กรจะทำให้สมาชิกในทีมสามารถสัมผัสประสบการณ์และสถาณการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้เหมือนกับโลกแห่งความเป็นจริง โดยไม่ต้องเจอกับความเสี่ยงที่พวกเขาอาจเจอได้ในการทำงานทุก ๆ วัน เช่น พายุ โรคระบาดใหญ่และภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ทำให้ไม่สามารถไปทำงานได้ ซึ่งแอปพลิเคชัน VR มักจะถูกใช้ในการทำงานที่ต้องเกิดการโต้ตอบกันในที่ประชุม เช่น การฝึกอบรมทีม การนําเสนอการขาย การสัมมนาการสาธิตผลิตภัณฑ์ การประชุมเพื่อสนทนาหารือในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น “แม้ว่าการได้สัมผัสประสบการณ์เหล่านี้ในชีวิตจริงอาจเป็นการเรียนรู้หรือฝึกซ้อมที่ดีที่สุด แต่การใช้ VR ก็ช่วยให้เรียนรู้หรือฝึกซ้อมได้ไม่แพ้กัน” Lloyd-Townshend กล่าว ผู้บริหารของ Accenture (Tayob) ได้ระบุว่า Metaverse ที่มีประสิทธิภาพจะควรมีคุณสมบัติ 3 อย่างนี้: ความท้าทายเพื่อไปสู่ VR แน่นอนว่าการทำให้คนยอมรับ VR จริง ๆ มีอุปสรรคหลายอย่าง ทั้งเรื่องค่าใช้จ่าย ขีดจำกัดความสามารถของซอฟต์แวร์ ชุดหูฟัง VR ที่มีขนาดใหญ่เทอะทะ รวมถึงการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต “อย่างไรก็ตามความท้าทายเหล่านี้จะไม่เป็นอุปสรรคอีกต่อไปเมื่อเทคโนโลยี 5G พร้อมใช้งานทั่วโลก” Sergey Golubenko หัวหน้าแผนก SharePoint ของ บริษัท ที่ปรึกษาด้านไอที ScienceSoft กล่าว Golubenko คาดการณ์ว่าในอนาคตอันใกล้นี้ชุดหูฟัง VR จะมีขนาดเล็กลงและเป็น Wireless “พวกเขาจะมีความสะดวกในการใช้งานมากขึ้น ซึ่งทำให้มั่นใจได้ว่าในอนาคตเราจะมีการนํา VR มาใช้ในที่ทํางานมากขึ้น” รวมถึงการพัฒนาคุณภาพของภาพ VR ให้มีความละเอียดและความสมจริงมากขึ้น “สิ่งนี้จะช่วยให้สามารถสร้างประสบการณ์ที่เหมือนจริงได้มากขึ้นซึ่งจะทําให้การสื่อสารและการทํางานร่วมกันของพนักงานระยะไกลมีประสิทธิภาพมากขึ้น” Golubenko Lloyd-Townshend เชื่อว่าสิ่งที่ท้าทายที่สุดสำหรับ VR คือการทําความเข้าใจในเรื่องศักยภาพของเทคโนโลยีและการนำ VR มาแก้ไขปัญหาหรือจุดบอดที่เกิดขึ้นในธุรกิจ “ผมคิดว่านี่แหละเป็นข้อเท็จจริงของเทคโนโลยีเมื่อมีนวัตกรรมใหม่เกิดขึ้น” “เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นกับเทคโนโลยี Cloud เมื่อสองสามปีที่ผ่านมา ซึ่งจากที่เคยเป็นข้อยกเว้นกับกลายเป็นบรรทัดฐาน ที่ตอนนี้เกือบทุกธุรกิจใช้ระบบ Cloud ในการดําเนินงานส่วนใหญ่หรือทั้งหมดด้วยซ้ำ”  สำหรับตัว VR เอง เราก็น่าจะพูดได้เหมือนกับ Social Media, ระบบอัตโนมัติ (Automated Systems), ปัญญาประดิษฐ์ (AI), และเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่ตอนนี้เป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจําวันเราไปแล้ว “มันเหลือแค่ว่า จะหาการใช้งานที่เหมาะสมสําหรับ VR เพื่อให้นำไปใช้ในการดำเนินธุรกิจทั่วไปได้ยังไงแค่นั้นเอง” Lloyd-Townshend ขั้นแรกกับการบุกเบิก Metaverse องค์กรที่ต้องการเริ่มต้นใน Metaverse สามารถเริ่มต้นโดยการใช้ Horizon Workrooms เวอร์ชันเบต้าของบริษัท Meta ที่เปิดให้คนทั่วไปใช้ได้ ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยให้ทีมสามารถทํางานด้วยกันจากระยะไกลได้โดยใช้ชุดหูฟังเสมือนจริง Oculus Quest 2 Johanna Viscaino ผู้อํานวยการบริหารของ 154 Agency ซึ่งเป็นบริษัททางด้านการตลาด ออกแบบเว็บไซต์และการพัฒนาแบรนด์ ได้กล่าวว่า การใช้ Horizon Workrooms ถือเป็นวิธีที่ดีในการรวมทีมที่ทำงานไกลกันให้สามารถประชุมหรือพูดคุยเรื่องงานกันได้ พนักงานเพียงแค่สแกนโต๊ะทํางานเชื่อมต่อกับแล็ปท็อปของพวกเขา จากนั้นก็เข้าสู่สํานักงานในโลกเสมือน “ทีมของเราสนุกกับการทำงานโดยใช้ Horizon Workrooms มาก ไม่ว่าจะเป็นการแชร์งานออกแบบ การแสดงคิดเห็นระหว่างการนําเสนอ” Viscaino ยังกล่าวอีกว่าทีมยังสามารถเชิญผู้ใช้ที่ไม่ได้ใช้ VR เข้ามาในห้องทํางานของพวกเขา “พวกเขาปรากฏในจอภาพที่ลอยอยู่และ . . . มีส่วนร่วมกับตัวตนอวตารของคนอื่น ๆ ได้” เพื่อให้คุณได้ดื่มด่ำใน Metaverse จริง ๆ Viscaino แนะนําให้ขออนุมัติงบประมาณสําหรับการใช้ Metaverse ในกลุ่มขนาดเล็ก “คุณจำเป็นต้องมีกลุ่มคนที่ได้ลองใช้ VR เพื่อพูดถึงความสะดวกสบายที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจาก VR ในวันนี้ยังไม่ใช่เครื่องมือทํางานที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางขนาดนั้น” ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า Viscaino คาดหวังว่าจะมีผู้นําองค์กรที่ได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารรุ่นใหม่มากขึ้น เพื่อเริ่มทำการสํารวจผลประโยชน์หรือควาสะดวกสบายที่เพิ่มขึนเมื่อมีออฟฟิศใน VR “ในโลกธุรกิจที่อาศัยอยู่ในโลกแห่งโควิด เครื่องมือใด ๆ ที่ช่วยให้คุณสนุกกับการทํางาน มันเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย” จักรวาลกำลังหมุนไปข้างหน้า…  บริษัททั้งหลายน่าจะปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าจักรวาลนิรมิตหรือ Metaverse กำลังหมุนเข้ามาหาพวกเรา ออฟฟิศในโลกเสมือนจริงจะช่วยให้พวกเราสนุกกับการทำงาน และกลายเป็นความจำเป็นใหม่ แต่นั่นหมายความว่าข้อมูลจำนวนมหาศาลจะต้องถูกจัดการและจัดระเบียบ Big Data จะกลายเป็นโจทย์สำคัญว่า แต่ละองค์กรจะใช้เครื่องมือ เทคโนโลยี Big Data เข้ามาช่วยให้คนของพวกเขา เปลี่ยนออฟฟิศธรรมดาไปสู่ Metaverse โลกเสมือนจริงได้ดีแค่ไหน ? บทความโดย John Edwardsเนื้อหาจากบทความของ InfomationWeekแปลและเรียบเรียงโดย วิน เวธิตตรวจทานและปรับปรุงโดย ปพจน์ ธรรมเจริญพร
19 May 2022

บทความ

ว่าด้วยเรื่องปัญหาด้านความปลอดภัยใน Metaverse (Metaverse Security)
Metaverse Security เนื้อหาโดยย่อ (Metaverse Security) การกําเนิดขึ้นของ Metaverse หรือที่คนไทยเรียกกันว่าจักรวาลนฤมิตนั้น สร้างความกังวลด้านความปลอดภัยที่มีอยู่ออกมาเป็นลิสต์ยาวเป็นหางว่าว การเพิ่มอีกมิติหนึ่งให้กับ Web 2.0 นํามาซึ่งโอกาสที่จะทำสิ่งที่ไม่ดี ไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการกลั่นแกล้งทางอินเทอร์เน็ต การใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่ละเอียดอ่อน รวมถึงการโจรกรรมทรัพย์สิน  ถึงแม้ว่าเราจะกำลังมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ก็คงจะต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่า Metaverse จะเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยในการจัดเก็บและแบ่งปันข้อมูล ข้อมูลผู้ใช้และการส่งข้อความ [Metaverse หรือจักรวาลนฤมิต] จะเพิ่มความรุนแรงของปัญหาความเป็นส่วนตัวก่อนหน้านี้ และสิ่งที่เรากําลังทำอยู่ตอนนี้ก็รับมือกับมันได้ไม่ดีนัก ผู้เชี่ยวชาญยอมรับว่าใน Metaverse จะมีการเฝ้าระวัง การรวบรวมข้อมูล และการแยกข้อมูล โดยข้อมูลของผู้ใช้จะถูกรวบรวมและแจกจ่ายมากขึ้น เนื่องจากการผสานของโลกเสมือนจริงและโลกแห่งความเป็นจริงทำให้สามารถเก็บข้อมูลต่าง ๆ ได้จากเซ็นเซอร์หลายตัว ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลส่วนบุคคล หรือแม้แต่อัตราการเต้นของหัวใจเมื่อมีการโต้ตอบในโซเชียลมีเดีย เพราะเมื่อคุณอยู่ใน Metaverse แล้ว ข้อมูลจะไม่ได้อยูภายการควบคุมของคุณอีกต่อไป จึงมักเป็นเป้าหมายของเหล่าแฮ็กเกอร์ที่ต้องการจะแฮ็กข้อมูล แน่นอนว่ามีการเสนอวิธีแก้ปัญหามากมายเพื่อปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น [2]: การสลับใบหน้าและการแมตต์จะไม่ได้ทำให้คุณปิดตัวตนได้อย่างเต็มที่ เว้นแต่คุณจะสามารถเข้ารหัสข้อมูลของคุณได้ การเข้ารหัสจากต้นทางถึงปลายทาง (End-to-end Encryption) จะปกป้องข้อมูลของคุณอย่างสมบูรณ์โดยใช้การส่งรหัสข้อความผ่านแอพ เช่น Signal, Telegram และ Wickr [3] อย่างไรก็ตามมีสัญญาณว่าการใช้การเข้ารหัสจากต้นทางถึงปลายทางกําลังจะสิ้นสุดลง รัฐบาลพยายามขอการเข้าถึงข้อมูลจากบริษัทเทคโนโลยีมานานแล้ว โดยเป็นการขออนุญาตการเข้าถึง “ประตูหลัง” (ทางลับสำหรับเข้าสู่โปรแกรมที่นักเขียนโปรแกรมมักจะกำหนดเป็นรหัสกันไว้ คนที่ไม่รู้รหัสหรือทางเข้าประตูหลัง ก็จะเรียกใช้โปรแกรมนั้นไม่ได้ คล้าย ๆ กับรหัสผ่าน) เป็นข้อความส่วนตัว รวมถึงในเร็ว ๆ นี้จะมีการบัญญัติพระราชบัญญัติ EARN IT [4] ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันเนื้อหาการล่วงละเมิดทางเพศเด็ก (CSAM) อีกด้วย แต่บทความเกี่ยวกับกฎหมายของสแตนฟอร์ด [5] ระบุว่า การเข้ารหัสจากต้นทางถึงปลายทาง “… มีแนวโน้มที่จะตกเป็นเป้าหมายว่าขัดกับแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการป้องกัน CSAM” เพราะถ้าหากการเข้ารหัสทำให้ไฟล์อ่านค่าไม่ได้ก็จะทำให้ตรวจหา CSAM ได้ยาก ดังนั้นหากผู้ออกกฎหมายไม่สามารถรื้อการเข้ารหัส End-to-end Encryption ได้สำเร็จก็จะทำให้แฮกเกอร์หรือผู้ไม่ประสงค์ดีสามารถเข้าถึงข้อความของคุณได้ [6] การกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ การกลั่นแกล้งทางอินเทอร์เน็ตเป็นประเด็นทางสังคมที่ใหญ่มาก โดยมีรายงานว่าประมาณ 16% ของเด็กวัยเรียนถูกล่วงละเมิดออนไลน์ [7] ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะตรวจจับการกระทำเหล่านี้ เนื่องจากผู้กระทำผิดสามารถทำเรื่องเหล่านี้ได้โดยไม่ระบุชื่อหรือใช้นามแฝง ซึ่งมักจะใช้วิธีการแฮ็คเข้าสู่บัญชีโซเชียลมีเดียของเหยื่อ และการเข้าไปใน Metaverse ก็เป็นการเปิดโอกาสให้คนที่ชอบกลั่นแกล้งคนอื่นและพวก Stalker (นักสะกดรอย) สามารถปกปิดตัวตนได้ จึงไม่แปลกใจเลยว่า Metaverse จะกลายเป็นสถานที่ที่มีการกลั่นแกล้งและการล่วงละเมิดเต็มไปหมด “ผู้เขียนจึงไม่แปลกใจกับการเกิดขึ้นของปัญหาการล่วงละเมิดเหล่านี้ เพราะปัญหานี้ยังไม่ได้รับการแก้ไข และเหมือนว่าตอนนี้ทุกคนก็ยังประมาท เพราะไม่มีใครคิดถึงเรื่องนี้เลย ก่อนที่จะเข้าไปใน Metaverse” ศาสตราจารย์ Brooke Foucault Welles ผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสาร [1] วิธีหนึ่งในการแก้ไขปัญหานี้คือการป้องกัน – เราสามารถจำกัดความสามารถของอวตารในการบล็อกคําหรือสถานการณ์บางอย่างที่น่าจะจัดเป็นการล่วงละเมิดหรือน่าจะเป็นพวกสะกดรอย (Stalker) ได้ ซึ่งคําหรือสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสมเหล่านั้นก็ไม่ได้หายไปจาก Metaverse เพียงแต่ผู้ใช้ได้รับการป้องกันจากมัน [2] แต่อย่างไรก็ตามเครื่องมือนี้ก็ใช้ไม่ได้ในทุกสถานการณ์ เพราะบางครั้งพฤติกรรมการล่วงละเมิดและการกลั่นแกล้งมันยากที่จะสังเกตและตรวจจับ วิธีการแก้ปัญหาอีกวิธีหนึ่งคือให้ผู้ใช้พยายามหลีกเลี่ยงหรืออยู่ให้ห่างจากพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมที่จะนำไปสู่การล่วงละเมิดได้ แต่ข้อเสียคือกว่าจะรู้ตัวผู้ใช้ ก็ถูกล่วงละเมิดไปแล้ว การโจรกรรมและสินค้าลอกเลียนแบบ สินค้าลอกเลียนแบบได้แพร่หลายใน Web 2.0 และแน่นอนว่ามันก็จะมีอยู่ใน Metaverse เช่นกัน ทางออกอย่างหนึ่งเพื่อกันการโจรกรรมแบบดิจิทัลคือลายน้ำ (Watermarking) ที่มองไม่เห็น ซึ่งบางทีเราก็เห็นว่าการใช้ลายน้ำไม่สามารถหยุดการโจรกรรมได้ [8] Blockchain อาจเป็นทางออกที่ช่วยแก้ปัญหาในเรื่องความเป็นเจ้าของ การตรวจสอบย้อนกลับและการถ่ายโอนทรัพย์สิน แต่อย่างไรก็ตาม Blockchain ก็ยังคงมีปัญหาเช่นกัน: MIT’s Technology Review เตือนว่า “แม้ความปลอดภัยในระบบ Blockchain จะถูกออกแบบมาอย่างดี แต่ก็อาจจะล้มเหลวได้เมื่อเจอกับเหล่ามนุษยที่มีความรู้ทางคณิตศาสตร์กับกฎเกณฑ์ของซอฟต์แวร์ และพร้อมที่จะทำการโจรกรรม” [9] การแก้ปัญหาแบบนิวเคลียร์ ทางออกที่ง่ายที่สุดในการแก้ปัญหาข้อกังวลด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวทั้งหลายทั้งมวลคือการห้ามผู้ใช้เข้าสู่ Metaverse ตั้งแต่แรกไปเลย [10] หากมาตรการ Draconian (ไว้เรียกกฎหมายที่มีบทลงโทษแรงมาก ๆ จนคนทั่วไปอาจจะมองว่ารุนแรงเกินไป) นั้นไม่บังคับใช้ แต่ถ้าหากคุณเลือกที่จะเข้าสู่ Metaverse คุณก็ควรรับความเสี่ยงด้วยตัวคุณเอง บทความโดย Stephanie Glenเนื้อหาจากบทความของ TechTargetแปลและเรียบเรียงโดย วิน เวธิตตรวจทานและปรับปรุงโดย นววิทย์ พงศ์อนันต์ อ้างอิง [1] Metaverse Privacy[2] Metaverse: Security and Privacy Concerns[3] What’s App Loses Millions of Users[4] Blackburn & Colleagues’ EARN IT Act Closer to Becoming Law[5] THE EARN IT ACT: HOW TO BAN END-TO-END ENCRYPTION WITHOUT ACTUALLY BANNING IT[6] Encryption: A Tradeoff Between User Privacy and National Security[7] Bullying at School and Electronic Bullying[8] Digital Watermarks[9] How secure is Blockchain really.[10] The social metaverse: Battle for privacy
17 May 2022

บทความ

ที่ดินเสมือนบน Metaverse Thailand (Virtual Land on Metaverse Thailand)
ที่ดินในโลกเสมือนกับที่ดินในโลกของความเป็นจริงมีความเชื่อมโยงกันอย่างไร ปัจจุบันคำว่า Metaverse ถูกใช้ออกไปอย่างกว้างขวาง และมีความเข้าใจในหลากหลายมุมมอง แล้วเราก็พบว่ามีการตีความเรื่อง Metaverse ตามประสบการณ์ของผู้สร้าง ซึ่งวันนี้เราจะตีความ Metaverse จากประสบการณ์ทีมสร้างที่ดินของ Metaverse Thailand  (มุมมองนักพัฒนา) ( ที่ดินเสมือนบน Metaverse Thailand ) Metaverse คืออะไร  จากรายงานของ Gartner คาดว่าอีก 4 ปีข้างหน้า 25% ของประชากรจะใช้เวลาอย่างน้อยประมาณ 1 ชั่วโมงในโลกของ Metaverse เพื่อทำงาน เพื่อช้อปปิ้ง การศึกษา เพื่อเข้าสังคมออนไลน์ บันเทิง ฯลฯ ความหมายที่มีความเข้าใจในปัจจุบัน ตีความ Metaverse ว่าเป็นโลกเสมือนที่ถูกสร้างขึ้นและมีความเชื่อมโยงระหว่างโลกของความเป็นจริงกับโลกเสมือนที่สร้างขึ้นมา โดยที่ไม่ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ประเภทเดียวและไม่ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการรายเดียวเหมือนปัจจุบัน ด้วยความหมายเบื้องต้นนี้ ตรงกับแนวคิดของเทคโนโลยี Web 3 คำว่าเชื่อมโยงระหว่างโลกเสมือนและโลกจริง ในความหมายที่จับต้องได้ง่ายที่สุด ณ เวลานี้ ที่หลาย ๆ ธุรกิจได้ทำ เช่น สินค้าที่อยู่บนโลกเสมือนสามารถแปลงเป็นสินค้าในโลกของความเป็นจริง บริการที่ซื้อบนโลกเสมือนก็สามารถแปลงเป็นบริการที่สามารถที่ใช้งานได้โลกจริงเช่นกัน เช่น ผมอาจเข้าไปในร้าน Samsung  บน Metaverse และซื้อโทรศัพท์รุ่นล่าสุดแน่นอนว่าตัว Avartar ของผมอาจจะถือโทรศัพท์นั้นอยู่ และในสิทธิ์นั้นผมสามารถไปร้าน Samsung  ที่ Central World และแลกโทรศัพท์มาใช้งานจริงได้เลย สิ่งนี้เป็น Use Case ที่เราเห็นอยู่มากมาย  อีกคำหนึ่งที่มีความหมายใกล้เคียงกับ Metaverse คือ Digital Twin หรือคู่เสมือนดิจิทัล ซึ่งทั้งสองสิ่งเหมือนกันคือเกี่ยวกับโลกดิจิทัลแต่ Metaverse ให้คำจำกัดความของโลกเสมือนนี้อาจจะไม่ได้หมายความว่ามีสภาพเหมือนกับโลกปัจจุบันเลย ซึ่งจุดนี้ทำให้คำจำกัดความของ Metaverse แตกต่างออกจากคำจำกัดความของ Digital Twin แล้วทำไมธุรกิจต่าง ๆ ที่อยู่บนโลกความเป็นจริงจึงตื่นตัวกับการมีของ Metaverse  ในมุมมองผมตัวแล้ว ธุรกิจมีเป้าหมายในการสร้างผลกำไรไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม ธุรกิจที่เข้ามาสู่ในโลกของ Metaverse อาจจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหยาบ ๆ คือ ผู้ที่เห็นโอกาสและสามารถแปลงสินค้าและบริการเป็นดิจิทัลและสร้างผลกำไรจากประชาชนในโลกเสมือน และอีกกลุ่มหนึ่ง คือ ผู้ที่ยังไม่เห็นโอกาสการแปลงสินค้าและบริการเข้าสู่โลกเสมือน แต่ขอเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรถไฟคันนี้ก่อน (FOMO Business) โดยกิจกรรมหรือรูปแบบธุรกิจที่เราเห็นในโลก Metaverse จากที่เราได้พบในเอกสาร และการบรรยาย ต่าง ๆ จะพบมีกิจกรรมที่เกิดขึ้น เช่น เราจะเห็นได้ว่ากิจกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบน Metaverse ยังอยู่ในสถานะ เหมือนกับรถฟอร์ดคันแรกที่ผลิตขึ้นในปี 1896 ที่ล้อรถยังเป็นยางจากรถจักรยาน รูปทรงคล้ายรถเทียมม้าและมีแค่ 2 เกียร์ แต่ผมก็เชื่อว่าการพัฒนาทั้งในมิติของโครงสร้างพื้นฐาน Metaverse และ กิจกรรมจะมีการพัฒนาที่เร็วมาก และอาจจะไม่ได้ใช้เวลาเป็นปี  แต่การเปลี่ยนแปลงสามารถเกิดขึ้นภายในไม่กี่เดือน  สิ่งที่น่าสนใจและอาจจะเปลี่ยนหลักคิดสำหรับการทำการทำธุรกิจในโลกของ Metaverse และจำเป็นที่จะต้องเตรียมตัวรับการเปลี่ยนแปลงนี้ คือ ความไร้ตัวตน หรือ การไม่สามารถระบุตัวตน เพราะคำว่า User Segmetation อาจจะใช้ไม่ได้ต่อไปในโลก Metaverse เพราะเรายอมรับความเป็น Avatar  ความคาดหวัง ณ เวลานี้ เราคาดว่า Metaverse จะทำให้เกิดโอกาสทางธุรกิจที่กว้างขึ้นจากการแลกเปลี่ยน การเข้าถึงข้อมูล การร่วมใช้ข้อมูล จากฐานข้อมูลประเภทไร้ศูนย์กลาง  นอกจากนี้ Gartner แสดงให้เราเห็นองค์ประกอบของ Metaverse ที่เข้าใจง่ายตามภาพ  Virtual Land วันนี้ Metaverse และการซื้อขายที่ดินใน Metaverse เหมือนจะเป็นเรื่องที่ทุกคนเข้าใจว่าจะต้องซื้อที่ดินเพื่อเข้าไปในโลกของ Metaverse แต่ในความเป็นจริงแล้วที่ดินเป็นเพียงประเภทหนึ่งของ กิจกรรมที่เกิดขึ้นบนโลก Metaverse เท่านั้น ที่ดินใน Metaverse คืออะไร? เนื่องจาก Metaverse เป็นโลกเสมือน ดังนั้นการมีที่ดินทำให้มีความรู้สึกเหมือนเป็นเจ้าของ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้คนเข้าใจได้ว่าจะต้องซื้อที่ดินเพื่อเป็นเจ้าของในโลกเสมือนนั้น หลักคิดนี้ เป็นหลักจิตวิทยาที่อ้างอิงโลกจริงและโลกเสมือนเข้าด้วยกัน   แล้วเราจำเป็นต้องซื้อที่ดิน หรือเป็นเจ้าของที่ดิน เพื่อเข้าสู่โลก Metaverse หรือไม่ คำตอบนี้เป็นได้ทั้งใช่และไม่ แต่สำหรับ Metaverse Thailand แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องเป็นเจ้าของที่ดินเพื่อเข้าสู่ Metaverse Thailand  แล้วที่ดินคืออะไรในเชิงเทคนิค ที่ดินคือ ข้อมูลดิจิทัลชุดนึง  ที่เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลประเภท NFT เช่นเดียวกับ Digital Art สำหรับ Metaverse Thailand แล้ว ที่ดิน เป็นข้อมูลดิจิทัล ที่ประกอบไปด้วย ชุดของข้อมูลพิกัดทางภูมิศาสตร์ จำนวน  6  ชุด และแสดงผลออกมาในรูปหกเหลี่ยม ที่เรียกว่า Hex และแต่ละ Hex นับเป็น ที่ดิน  1  แปลง และที่ดินแต่ละแปลงออก NFT สามารถซื้อขาย แลกเปลี่ยน และส่งต่อได้  สิ่งที่ทำให้การสร้างที่ดินใน Metaverse Thailand นั้นแตกต่างที่อื่น Metaverse Thailand เป็น Verse เดียวที่สร้างที่ดินเพื่อการซื้อขายโดยอ้างอิงแปลงที่ดินเหล่านั้นบนโลกจริง ขณะที่ Verse อื่น เป็นแปลงที่ดินแบบเกม เราใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศเป็นพื้นฐานของการสร้างที่ดิน การนำเสนอบนแผนที่ ด้วยเทคโนโลยีนี้ทำให้เรามีความแตกต่างจาก Verse อื่นอย่างมาก คนสามารถเข้าใจตีความความเป็นเจ้าของ ของที่ดินที่อ้างอิงได้กับโลกจริงได้มากกว่า เช่น เราเป็นเจ้าของที่ดินในโลกเสมือนบริเวณปากซอยทองหล่อ เป็นต้น (ผมมองว่าเป็นหลักเชิงจิตวิทยากับการตลาด ก็ยอมรับว่าผู้คิดก็เฉียบคมมาก) เราใช้พื้นที่บริเวณถนนเอกมัยถึงถนนทองหล่อ ในการสร้างที่ดินเสมือนออกมาจำนวน  89,000 แปลง โดยแต่ละแปลงขนาด 40 ตารางเมตร และแปลงเป็นรูปหกเหลี่ยม ในวันแรกของการซื้อขายกำหนดราคาขายที่แปลงละ 3 BUSD (~3 USD) หรือ 300 MVP และสามารถขายหมดได้ภายในเวลา 15 ชั่วโมง  ปัจจุบัน Use Case ที่เกิดขึ้นบนแปลงที่ดินยังคงไม่ถึงภาพในฝันเหมือนในหนัง Ready Player One ซึ่งมองว่าคงอีกไม่นาน และหน่วยคงไม่เป็น 10 ปี แล้วเราก็มั่นใจว่าทิศทางของเทคโนโลยี ในมุ่งเป้าไปทางนี้แล้ว วันพรุ่งนี้ Metaverse จะเป็นอย่างไร เราอาจไม่สามารถตอบหรือเห็นภาพที่ชัดเจนได้  สำหรับผมในฐานนะของนักภูมิศาสตร์ เรามีความสนุกกับโจทย์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นบนโลกเสมือนที่สามารถเชื่อมต่อกับโลกจริงได้ บทความโดย นายประสงค์ ปทีปเพิ่มพงศ์ ตรวจทานและปรับปรุงโดย นววิทย์ พงศ์อนันต์
11 March 2022

บทความ

Metaverse คืออะไรกันแน่ และเราจะเอื้อมไปถึงมันยังไง?
หากทุกคนร่วมมือกัน เราหวังว่า เรากำลังมาถูกทาง แน่นอนว่าคุณคงเคยได้ยินคำว่า “Metaverse” ผ่านหูกันมาแล้ว แต่อาจยังมีความสงสัยว่า Metaverse คืออะไร ซึ่งในปัจจุบันบริษัทเทคโนโลยีมากมายต่างพูดถึงมัน อย่างบริษัทในชื่อเดิม Facebook ที่เรารู้จักกันดี เชื่อมั่นในเรื่อง Metaverse อย่างมากจนถึงขนาดเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น “Meta” เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการดำดิ่งสู่โลกออนไลน์ยุคใหม่อย่างสุดตัว เราคงหาคำจำกัดความง่าย ๆ ของ Metaverse ไม่ได้ ต้นกำเนิดของคำคำนี้ ต้องย้อนกลับไปในนิยายวิทยาศาสตร์เรื่อง Snow Crash เขียนโดย Neal Stephenson ในปี 1992  ในนิยายเรื่องนี้ มีโลกอีกใบที่ให้ผู้คนได้เข้ามามีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันผ่านการจำลองเป็นตัวละคร อย่างอวาตาร์นั่นเอง ซึ่งเหนือสิ่งอื่นใด ในนิยายยังมีการพูดถึงอสังหาริมทรัพย์เสมือนจริงด้วย ถ้าจะพูดกันให้ง่ายที่สุด Metaverse คือเรื่องของ Virtual Reality (VR) เทคโนโลยีที่พยายามสร้างสภาพแวดล้อมเสมือนขึ้นมาใหม่ เพื่อดึงให้ผู้ใช้งานออกจากโลกความจริงไปสู่โลกเสมือน และ Augmented Reality ซึ่งคือเทคโนโลยีที่เอาวัตถุจากโลกเสมือนอย่างเช่น ภาพ วิดีโอ หรือเสียงเข้ามาผสานกับสภาพแวดล้อมของโลกจริงที่อยู่รอบ ๆ ตัวเรา (บางครั้งเราเลยเรียกรวมกันเป็นคำว่า “Extended Reality”) อย่าง Facebook ตั้งแต่ก่อนจะเปลี่ยนชื่อก็ได้ประกาศให้โลกรู้ว่าเอาจริง ด้วยการซื้อ Oculus ซึ่งเป็นบริษัทที่สร้างชุดหูฟัง Virtual Reality แถมตอนนี้ Meta ยังสร้างแผนกชื่อ Reality Labs ซึ่งสร้างอุปกรณ์มากมายไม่ว่าจะเป็น ชุดหูฟัง VR แว่นตาอัจฉริยะ และคาดว่าท้ายสุดเราจะมีแว่นตา Augmented Reality เหมือนอย่างในเรื่องคนเหล็ก Terminator ที่หุ่นสังหารเวลามองอะไรก็จะมีข้อมูลที่เราต้องการแสดงให้ดูหมด เช่น มองเสื้อก็รู้ขนาด ที่มา หรือราคาในทันที แต่ Metaverse ยังมีนัยยะความหมายอื่น ๆ อีก เช่น อวาตาร์ของเราจะเป็นแค่ตัวเดียวหรือหลาย ๆ ตัว โดยจะสามารถไปปรากฏข้ามค่ายบริษัทหรือข้ามแพลตฟอร์มต่าง ๆ ได้ แบบเดียวกับตัวคุณสามารถไปที่ Starbucks ในวันถัดมาไปร้าน McDonalds และก็ไปร้านอาหารสุดหรูในอีกวัน บางทีในอนาคตอวาตาร์ของคุณในเกมนึงอาจจะเดินออกจากเกมนั้นและไปโผล่ในอีกงาน Event นึงของอีกบริษัทหนึ่งก็ได้ Metaverse ยังเกี่ยวกับเรื่องการค้าแถมบางคนก็ยังเอาไปผูกกับเรื่องสกุลเงินดิจิทัลอย่างเช่น Bitcoin ไปเลย อวาตาร์ที่ไม่ใช่คนจริง ๆ แต่กลับใช้เงินได้ และยังไม่พอ Metaverse ยังสามารถหาเงินได้ด้วย เช่น อวาตาร์ตัวนั้นอาจช่วยจัดหาของ สินค้าหรือให้บริการต่าง ๆ ใน Metaverse เหมือนกับที่คุณขับรถคันเดียวกันหรือสวมเสื้อผ้าชุดเดียวกันจากที่นึงไปอีกที่นึง อวาตาร์ใน Metaverse ก็สามารถหนีบสินค้าดิจิทัลติดตัวไปจากแพลตฟอร์มหนึ่งไปอีกแพลตฟอร์มหนึ่งก็ได้เหมือนกัน นาทีนี้ บางส่วนของ Metaverse ก็เกิดขึ้นแล้ว ถึงแม้อาจจะเป็นแค่เศษส่วนนึงแต่ Metaverse ปรากฏตัวให้เราเห็นตั้งนานแล้ว เช่น ตั้งแต่ปี 2003 Second Life ได้อนุญาตให้ผู้ใช้สร้างอวาตาร์เพื่อเล่นเกม อวตาร์ของเราสามารถเข้าร่วมการประชุมได้ ทำธุรกิจก็ได้ หรือแม้แต่ซื้อขายอสังหาริมทรัพย์เสมือนจริงก็ได้อีกด้วย บริษัททั้งใหญ่เล็ก เช่น  IBM, Reuters, NPR หรือบริษัทอื่น ๆ อีกมากมายก็จริงจังมากเช่นกัน ถึงขนาดมีการสร้างที่ดิน สร้างตึก ไปตั้งสถานที่ฝึกอบรม และอสังหาริมทรัพย์มากมายในแพลตฟอร์ม Second Life ตั้งแต่ตอนนั้น ผลิตภัณฑ์หลาย ๆ อย่างเช่น ชุดหูฟัง Oculus VR ของ Meta, แว่นตาเสมือนจริงของ Microsoft HoloLens และผลิตภัณฑ์ VR และ AR  นี่เป็นตัวอย่างเริ่มต้นของผลิตภัณฑ์ยุค Metaverse แม้ว่าบางอย่างดูจะไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับ Metaverse ขนาดนั้น แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนสนับสนุนการเปิดโลก Metaverse แพลตฟอร์มเกมเป็นตัวอย่างแรก ๆ ว่า Metaverse ทำอะไรได้บ้าง ซึ่งความสนใจใน Metaverse มีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ Microsoft ยอมจ่ายเงิน 69 พันล้านดอลลาร์เพื่อซื้อ บริษัท เกม Activision Blizzard Roblox แพลตฟอร์มที่ช่วยให้นักพัฒนาโปรแกรมทั่วโลกสามารถสร้างเกมแบบ Interactive ที่สนุกสนานหลายล้านคนไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ โดยผู้เล่นสามารถสร้างอวาตาร์ที่สามารถออกไปเที่ยว ชนแก้ว พูดคุย และจ่ายเงิน (ใช้สกุลเงิน Robux) กับผู้เล่นคนอื่น ๆ ในโลกเสมือนจริงได้ ผลิตภัณฑ์ที่ถือว่าคล้าย Metaverse อีกอย่างหนึ่งคือ Pokémon Go เกม AR ยอดนิยมที่ช่วยให้ผู้เล่น สามารถโต้ตอบกับภาพที่สร้างด้วยคอมพิวเตอร์  ซึ่งก็คือเจ้าตัวโปเกม่อนเนี่ยแหล่ะ มารวมกับโลกความเป็นจริงผ่านกล้องของสมาร์ทโฟน ใครก็ตามที่ใช้ Zoom หรือเครื่องมือการประชุมทางวิดีโออื่น ๆ ถือว่าเริ่มเข้าสู่โลก Metaverse เช่นกัน จริงอยู่ที่การประชุมออนไลน์ จะไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับอวาตาร์ แต่มันคือการประชุมในโลกเสมือน คอมพิวเตอร์สามารถสร้างฉากหลังอะไรที่เราเลือกตอนประชุม ซึ่งตัวผมเองก็เคยเข้าประชุมออนไลน์แล้วเจอเพื่อนร่วมงานหรือลูกค้าที่ประชุมอยู่ที่บ้าน แต่เลือกใช้ฉากหลังเป็นสถานที่ต่าง ๆ เช่น Co-working Space ชายหาด ร้านกาแฟ เป็นต้น นอกจากนี้บางยังใช้ฟิวเตอร์ เพื่อเปลี่ยนหน้าตาตัวเอง หรือบางคนเล่นใหญ่ขนาดเปลี่ยนร่าง แปลงเป็นสัตว์ไปเลยก็มี ฟิวเตอร์ยังเป็นส่วนหนึ่งของพวกแอปโซเชียลมีเดียเช่น Instagram และ Snapchat ซึ่งอาจพูดได้ว่า มันช่วยให้ผู้คนมองเห็นโลกความจริงที่เปลี่ยนไปจากเดิม ถึง Snapchat (แอพไว้คุยกันคล้ายๆ  line, whatapps แต่มีลูกเล่นเรื่องความเป็นส่วนตัวเยอะกว่าเช่น เมื่อเปิดอ่านจะลบข้อความทันทีที่อ่าน ใครแคปหน้าจอ ก็จะมีแจ้งเตือน ซึ่งฮิตมากที่อเมริกา ยุโรป) และ Instagram ยังไม่ใช่ Metaverse แต่นี่ก็คือหนึ่งในก้าวที่เราเข้าใกล้ Metaverse มากขึ้น จักรวาล Metaverse จะเดินไปทางไหน ยังไม่มีใครตอบได้ว่า วิวัฒนาการของ Metaverse จะเป็นยังไง แต่เรารู้ว่าบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งใช้เงินหลายพันล้านในการนำเสนอแนวคิดของตนเองว่ามันจะเป็นอย่างไร อย่าง Apple ซึ่งเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดของโลกในแง่ของมูลค่าตลาดกล่าวว่า กำลังพัฒนาแว่นตา AR และบริษัทเองก็มีอุปกรณ์พวก AR ที่ไว้ใช้กับ iPhone และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของบริษัทแล้วด้วย หรือที่ผมกล่าวไว้ก่อนแล้วว่า Microsoft ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่มีมูลค่าอันดับสองของโลก กำลังพัฒนาแว่นตา HoloLens AR และก็ยังมีแพลตฟอร์มเกม X-Box นอกจากนี้ Microsoft ยังได้เข้าซื้อกิจการ Activision Blizzard...
8 March 2022
PDPA Icon

We use cookies to optimize your browsing experience and improve our website’s performance. Learn more at our Privacy Policy and adjust your cookie settings at Settings

Privacy Preferences

You can choose your cookie settings by turning on/off each type of cookie as needed, except for necessary cookies.

Accept all
Manage Consent Preferences
  • Strictly Necessary Cookies
    Always Active

    This type of cookie is essential for providing services on the website of the Personal Data Protection Committee Office, allowing you to access various parts of the site. It also helps remember information you have previously provided through the website. Disabling this type of cookie will result in your inability to use key services of the Personal Data Protection Committee Office that require cookies to function.
    Cookies Details

  • Performance Cookies

    This type of cookie helps the Big Data Institute (Public Organization) understand user interactions with its website services, including which pages or areas of the site are most popular, as well as analyze other related data. The Big Data Institute (Public Organization) also uses this information to improve website performance and gain a better understanding of user behavior. Although the data collected by these cookies is non-identifiable and used solely for statistical analysis, disabling them will prevent the Big Data Institute (Public Organization) from knowing the number of website visitors and from evaluating the quality of its services.

  • Functional Cookies

    This type of cookie enables the Big Data Institute (Public Organization)’s website to remember the choices you have made and deliver enhanced features and content tailored to your usage. For example, it can remember your username or changes you have made to font sizes or other customizable settings on the page. Disabling these cookies may result in the website not functioning properly.

  • Targeting Cookies

    "This type of cookie helps the Big Data Institute (Public Organization) understand user interactions with its website services, including which pages or areas of the site are most popular, as well as analyze other related data. The Big Data Institute (Public Organization) also uses this information to improve website performance and gain a better understanding of user behavior. Although the data collected by these cookies is non-identifiable and used solely for statistical analysis, disabling them will prevent the Big Data Institute (Public Organization) from knowing the number of website visitors and from evaluating the quality of its services.

Save settings
This site is registered on wpml.org as a development site. Switch to a production site key to remove this banner.