ผลการวิเคราะห์พฤติกรรมของคนไทยในการรับมือ COVID-19 ด้วย Data Science

ผลการวิเคราะห์พฤติกรรมของคนไทยในการรับมือ COVID-19 ด้วย Data Science

03 April 2020
รูปที่ 1 ผลสำรวจพฤติกรรมคนไทยกับมาตรการ COVID-19

ในขณะที่สถานการณ์บ้านเมืองยังเต็มไปด้วยการระบาดของ COVID-19 ผู้คนต่างต้องกักกันตัวเองอยู่แต่ในบ้าน สามารถออกไปข้างนอกได้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น และทุกครั้งที่ไปข้างนอกก็ต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลา ต้องรักษาระยะห่างระหว่างบุคคล ต้องล้างมือ และหมั่นตรวจสอบสุขภาพอนามัยของตัวเองให้สะอาดอยู่เสมอตามมาตรการของรัฐ ซึ่งเรียกได้ว่าแทบจะเปลี่ยนพฤติกรรมของคนไทยส่วนใหญ่เลยทีเดียว คำถามคือคนไทยมีความพร้อมในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ในปัจจุบันอย่างไร 

ด้วยความสงสัยนี้เองทำให้กรมควบคุมโรคร่วมมือกับมหาวิทยาลัยมหิดลและสถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ (GBDi) จัดทำแบบสำรวจความพร้อมในการรับมือ COVID-19 ของคนไทย โดยได้เปิดให้เข้าร่วมทำแบบสอบถามได้เป็นเวลา 30 ชั่วโมง และมีจำนวนผู้ร่วมทำแบบสอบถามทั้งสิ้น 146,372 คน จากทั่วประเทศ 

รูปที่ 2 ผลสำรวจการป้องกันตัวเองจากเชื้อไวรัสโคโรน่า

ในรูปที่ 2 แสดงผลสำรวจพฤติกรรมคนไทยในภาพรวม ซึ่งทำให้ภาครัฐได้เข้าใจถึงพฤติกรรมการป้องกันตัวของประชาชน เช่น ประชาชน 94% สวมหน้ากากอนามัยเวลาออกนอกบ้าน, 65% รักษาระยะห่างกับผู้อื่น และ 29% วัดอุณหภูมิร่างกายทุกวัน ซึ่งผลที่เห็นก็คือประชาชนส่วนใหญ่มีการป้องกันตัวเองค่อนข้างดี

รูปที่ 3 ผลสำรวจมาตรการการกักตัว (Self-quarantine) หลังจากเดินทางกลับจากต่างประเทศ
รูปที่ 4 ผลสำรวจมาตรการทำงานที่บ้าน (Work from home)

หรือในแง่ของมาตรการที่ภาครัฐกำหนดขึ้น ก็จะทำให้ทราบได้ว่าประชาชนจำนวนกี่เปอร์เซ็นต์ทำตามมาตรการอย่างเคร่งครัด เช่น มาตรการกักตัวเองหลังจากเดินทางกลับมาจากต่างประเทศ (รูปที่ 3) ทำให้เห็นว่าส่วนใหญ่มีการกักตัวเอง แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยเลยที่ไม่ได้ทำตามมาตรการนี้ หรือ ในส่วนของมาตรการทำงานอยู่ที่บ้าน หรือ Work From Home (รูปที่ 4) นั้นทำได้ยากสำหรับคนส่วนใหญ่ ที่ยังมีความจำเป็นที่ต้องออกไปทำงานข้างนอก

จะเห็นได้ว่ามีข้อมูลหลากหลายมิติจากแบบสอบถามนี้ ซึ่งสามารถตอบคำถามได้หลายอย่างที่ทั้งภาครัฐและประชาชนมี แต่จะมีวิธีอะไรที่สามารถทำให้เห็นภาพโดยรวมต่อมาตรการ มากกว่าดูกราฟแท่งทีละชุด จุดนี้เองที่สามารถใช้ Data Science เข้ามาช่วยได้

การใช้ Data Science ในการวิเคราะห์ผลแบบสอบถาม

เทคนิคที่ใช้ใน Data Science เมื่อเราไม่มีคำถามที่ชัดเจน แต่อยากใช้ Machine Learning ในการหารูปแบบของข้อมูลก็คือ Unsupervised Learning และเทคนิคที่ง่ายและเป็นที่นิยมที่สุดก็คือการแบ่งกลุ่มข้อมูลหรือ Clustering นั่นเอง 

ในแบบสอบถามนี้มีคำถามว่าผู้ตอบแบบสอบถามมีอาการป่วยหรือไม่  นั่นให้เกิดความสงสัยว่า รูปแบบพฤติกรรมของผู้ที่มีอาการป่วยจะเหมือนหรือแตกต่างผู้ที่ไม่มีอาการป่วยอย่างไร และมากกว่านั้นคือในกลุ่มผู้ที่มีอาการป่วยหรือกลุ่มผู้ที่ไม่มีอาการป่วยจะมีพฤติกรรมในลักษณะเดียวกันหรือไม่ 

เพื่อวิเคราะห์ความคล้ายคลึงภายในและภายนอกกลุ่มผู้ที่มีอาการป่วยและไม่มีอาการป่วย จึงทำการกรองข้อมูลออกเป็น 2 กลุ่มก่อน โดยข้อมูลของกลุ่มที่มีอาการป่วยมีอยู่ 11,570 คน (8%) และสำหรับข้อมูลผู้ไม่มีอาการป่วยมี 110,464 คน (77%) โดยที่เหลืออีก 15% ไม่แน่ใจว่ามีอาการหรือไม่จึงถูกตัดออกไปจากการวิเคราะห์นี้ จากนั้นจึงทำการแบ่งกลุ่มข้อมูล แต่เนื่องจากว่าผลสำรวจจากแบบสอบถามมีทั้งข้อมูลที่เป็นตัวเลข (Numerical feature) และข้อมูลที่เป็นหมวดหมู่ (Categorical feature) ดังที่แสดงในรูปที่ 5 การวิเคราะห์นั้นจึงทำด้วยเทคนิคที่เรียกว่า K-prototypes (อ่านเพิ่มเติมได้ที่ อีกขั้นของ k-means algorithm ที่สามารถแบ่งกลุ่มข้อมูลได้ทุกประเภท) ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้หลักการทำการแบ่งกลุ่มข้อมูลเพื่อจัดกลุ่มข้อมูลที่มีลักษณะเหมือนกันให้อยู่กลุ่มเดียวกัน และข้อมูลที่แตกต่างกันให้อยู่คนละกลุ่มกัน 

 รูปที่ 5 ตัวอย่างผลสำรวจ 2 แถวแรก

สำหรับเกณฑ์ในการเลือกจำนวนกลุ่มที่ดีที่สุดจะพิจารณาจาก Silhouette score (โดยจะอธิบายในโอกาสถัดไป) ซึ่งพบว่าจำนวนกลุ่มที่ได้จากการแบ่งกลุ่มควรเป็น 2 หรือ 3 กลุ่ม โดยในบทความนี้จะเลือกใช้จำนวนในการแบ่งกลุ่มเป็น 3 กลุ่ม โดยพบว่าพฤติกรรมที่สำคัญในการจำแนกกลุ่มแต่ละกลุ่มคือ จำนวนครั้งในการล้างมือ การได้ทำงานจากที่บ้าน การไม่ไปในพื้นที่เสี่ยง การรักษาระยะห่างจากคนอื่นอย่างน้อย 1-2 เมตร การปิดปากและจมูกด้วยกระดาษทิชชูเวลาจามหรือและล้างมือทันที การวัดอุณภูมิร่างกายตัวเองทุกวัน การหลีกเลี่ยงการจับใบหน้า ตา จมูก และปาก การเช็ดโทรศัพท์มือถือด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ การกินอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ เพิ่มขึ้น และการกินวิตามินบำรุง โดยสามารถสรุปลักษณะพฤติกรรมที่สำคัญของแต่ละกลุ่มได้ดังแสดงที่ในตารางที่ 1

ตารางที่ 1 ลักษณะพฤติกรรมที่สำคัญของแต่ละกลุ่ม

กลุ่มผู้ที่มีอาการป่วย

รูปภาพประกอบด้วย ข้อความ

คำอธิบายที่สร้างโดยอัตโนมัติ
รูปที่ 6 ลักษณะพฤติกรรมของกลุ่มผู้ที่มีอาการป่วย

กลุ่มที่มีอาการป่วย กลุ่มที่ 1 กลุ่มที่ได้ทำงานที่บ้าน คิดเป็น 50% ของผู้ที่มีอาการป่วยทั้งหมด เป็นกลุ่มที่ได้ทำงานจากบ้าน ได้พูดคุยกับคนอื่นในระยะประชิดน้อย และล้างมือเฉลี่ยประมาณ 0-7 ครั้ง

กลุ่มที่มีอาการป่วย กลุ่มที่ 2 กลุ่มที่ป้องกันตัวเองอย่างดี คิดเป็น 35% ของผู้ที่มีอาการป่วยทั้งหมด เป็นกลุ่มที่ยังคงต้องไปทำงานอยู่ แต่มีการดูแลตัวเองอย่างดีเยี่ยม กล่าวคือมีการรักษาระยะห่างระหว่างบุคคล ปิดปากเวลาไอหรือจาม วัดอุณภูมิร่างกายตัวเองทุกวัน หลีกเลี่ยงการสัมผัส เช็ดโทรศัพท์มือถือด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ และกินอาหารที่มีประโยชน์

กลุ่มที่มีอาการป่วย กลุ่มที่ 3 กลุ่มที่ป้องกันอยู่บ้าง คิดเป็น 15% ของผู้ที่มีอาการป่วยทั้งหมด เป็นกลุ่มที่ไม่ได้ทำงานจากที่บ้านเป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่ได้ดูแลสุขอนามัยดีเท่ากลุ่มที่ 2  มีการป้องกันเพียงแค่ปิดปากและจมูกเวลาไอหรือจาม และกินอาหารที่มีประโยชน์เพิ่มขึ้น

กลุ่มผู้ที่ไม่มีอาการป่วย

รูปภาพประกอบด้วย ภาพหน้าจอ

คำอธิบายที่สร้างโดยอัตโนมัติ
รูปที่ 7 ลักษณะพฤติกรรมของกลุ่มผู้ที่ไม่มีอาการป่วย

กลุ่มที่ไม่มีอาการป่วย กลุ่มที่ 1 กลุ่มที่ได้ทำงานจากที่บ้าน  คิดเป็น 65% ของผู้ที่ไม่มีอาการป่วยทั้งหมด เป็นกลุ่มที่ได้ทำงานจากที่บ้าน มีการป้องกันตัวเองเพียงแค่รักษาระยะห่างระหว่างตนเองกับคนอื่น หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า และกินอาหารที่มีประโยชน์ ซึ่งคล้ายกับกลุ่มทำงานที่บ้านในคนที่มีอาการป่วย

กลุ่มที่ไม่มีอาการป่วย กลุ่มที่ 2  กลุ่มที่ดูแลตัวเองดีเยี่ยม    คิดเป็น 20% ของผู้ที่ไม่มีอาการป่วยทั้งหมด เป็นกลุ่มคนที่ไม่ได้ทำงานจากที่บ้าน และดูแลตัวเองเป็นอย่างดี นอกจากสวมใส่หน้ากากอนามันและล้างมือแล้วยังมีการวัดอุณหภูมิตัวเองทุกวัน การเช็ดโทรศัพท์มือถืออยู่เสมอ และการกินวิตามินบำรุงตัวเอง

กลุ่มที่ไม่มีอาการป่วย กลุ่มที่ 3 กลุ่มที่ป้องกันอยู่บ้าง   คิดเป็น 15% ของผู้ที่ไม่มีอาการป่วยทั้งหมด จะคล้ายกับกลุ่มที่ไม่มีอาการป่วย กลุ่มที่ 1 แต่แตกต่างตรงที่คนในกลุ่มนี้ไม่ได้ทำงานจากที่บ้านเป็นส่วนใหญ่ และในเมื่อหลีกเลี่ยงการออกจากบ้านไม่ได้ จึงจำเป็นที่จะต้องเพิ่มการป้องกันดูแลตัวเองนอกเหนือจากการสวมใส่หน้ากากอนามัยและล้างมือแล้ว ก็มีการเช็ดโทรศัพท์มือถือเพิ่มเข้ามา และปิดปากเวลาไอหรือจามและล้างมือในทันที

ผู้ที่ไม่มีอาการป่วยจะมีสัดส่วนการทำงานจากที่บ้านมากกว่าซึ่งอาจจะแสดงว่าการทำงานจากที่บ้านมีผลต่อการลดโอกาสการเจ็บป่วย

ผลการวิเคราะห์

จะเห็นได้ว่าทั้งคนที่ป่วยและไม่ป่วยนั้นต่างแบ่งได้คร่าว ๆ เป็นสามกลุ่มทั้งคู่ โดยกลุ่มที่ทำงานนอกบ้านโดยรวมแล้วมักจะมีพฤติกรรมการล้างมือและป้องกันตัวมากกว่ากลุ่มที่ทำงานจากบ้าน สำหรับคนที่ป่วยจะมีการระวังตัวและไปในพื้นที่เสี่ยงน้อยกว่าคนไม่ป่วยแสดงถึงความร่วมมือต่อมาตรการในผู้ที่ทำแบบสอบถาม นอกจากนี้คนที่ไม่ป่วยจะมีสัดส่วนการทำงานจากที่บ้านมากกว่าซึ่งอาจจะแสดงว่าการทำงานจากที่บ้านมีผลต่อการเจ็บป่วย การแบ่งกลุ่มข้อมูลแบบนี้ทำให้เราเห็นภาพรวมของพฤติกรรมที่แตกต่างกันของประชาชนและทำให้ภาครัฐสามารถวางแผนได้ดีขึ้นเมื่อต้องออกมาตรการใหม่สำหรับสถานการณ์ที่ไม่เคยเจอมาก่อนแบบครั้งนี้ครับ

Data Scientist
Government Big Data Institute (GBDi)

Share This News

Suggest Topics You'd Like to Read

Let us know what topics you’d like to read!
Your suggestions will help us create more engaging and relevant articles.

PDPA Icon

We use cookies to optimize your browsing experience and improve our website’s performance. Learn more at our Privacy Policy and adjust your cookie settings at Settings

Privacy Preferences

You can choose your cookie settings by turning on/off each type of cookie as needed, except for necessary cookies.

Accept all
Manage Consent Preferences
  • Strictly Necessary Cookies
    Always Active

    This type of cookie is essential for providing services on the website of the Personal Data Protection Committee Office, allowing you to access various parts of the site. It also helps remember information you have previously provided through the website. Disabling this type of cookie will result in your inability to use key services of the Personal Data Protection Committee Office that require cookies to function.
    Cookies Details

  • Performance Cookies

    This type of cookie helps the Big Data Institute (Public Organization) understand user interactions with its website services, including which pages or areas of the site are most popular, as well as analyze other related data. The Big Data Institute (Public Organization) also uses this information to improve website performance and gain a better understanding of user behavior. Although the data collected by these cookies is non-identifiable and used solely for statistical analysis, disabling them will prevent the Big Data Institute (Public Organization) from knowing the number of website visitors and from evaluating the quality of its services.

  • Functional Cookies

    This type of cookie enables the Big Data Institute (Public Organization)’s website to remember the choices you have made and deliver enhanced features and content tailored to your usage. For example, it can remember your username or changes you have made to font sizes or other customizable settings on the page. Disabling these cookies may result in the website not functioning properly.

  • Targeting Cookies

    "This type of cookie helps the Big Data Institute (Public Organization) understand user interactions with its website services, including which pages or areas of the site are most popular, as well as analyze other related data. The Big Data Institute (Public Organization) also uses this information to improve website performance and gain a better understanding of user behavior. Although the data collected by these cookies is non-identifiable and used solely for statistical analysis, disabling them will prevent the Big Data Institute (Public Organization) from knowing the number of website visitors and from evaluating the quality of its services.

Save settings
This site is registered on wpml.org as a development site. Switch to a production site key to remove this banner.