BDI

BDI

ข่าวและบทความที่เกี่ยวข้อง

Related news and articles

PostType Filter En

บทความ

BDI ผนึกภาคีเครือข่ายพัฒนากำลังคน หนุน NQF–Credit Bank สร้างทักษะ AI แห่งอนาคต ดัน “กาญจนบุรีโมเดล”
25 ธันวาคม 2568, กาญจนบุรี – สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ “การจัดทำหลักสูตรกลางสู่กรอบคุณวุฒิแห่งชาติ (NQF) และระบบธนาคารหน่วยกิต (Credit Bank) จังหวัดกาญจนบุรี” เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาหลักสูตรและระบบการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงกับการพัฒนากำลังคนในระดับพื้นที่ โดยมี สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI และหน่วยงานด้านการศึกษาในจังหวัดกาญจนบุรี เข้าร่วมแลกเปลี่ยนแนวทางการดำเนินงาน ณ หอประชุม 60 พรรษา โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี การประชุมครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา องคมนตรี เป็นประธานเปิดการประชุมและมอบนโยบายด้านการพัฒนาการศึกษา เพื่อให้การจัดการเรียนรู้และการพัฒนากำลังคนของจังหวัดกาญจนบุรี สามารถตอบโจทย์ทิศทางเศรษฐกิจและสังคมในอนาคตได้อย่างเป็นรูปธรรม มุ่งเชื่อมโยงนโยบายการศึกษาเข้ากับการจัดการเรียนรู้ในสถานศึกษา รองรับการเทียบโอนผลการเรียนรู้ตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติและระบบ Credit Bank สอดคล้องกับแนวคิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต รวมทั้งการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ด้าน AI และต่อยอดการพัฒนาหลักสูตรตามแนวทาง “กาญจนบุรีโมเดล” เพื่อเตรียมกำลังคนให้พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานในอนาคต ดร.สุนทรีย์ ส่งเสริม รองผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ กล่าวว่า ความท้าทายสำคัญของการพัฒนาประเทศในปัจจุบันไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการพัฒนาเทคโนโลยี แต่คือการพัฒนาคนให้สามารถเข้าใจและใช้เทคโนโลยีได้อย่างมีคุณภาพ จากผลการประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล (Program for International Student Assessment – PISA 2022) พบว่า คะแนนคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ของนักเรียนไทยยังมีช่องว่างเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development – OECD) และในปี 2029 การประเมิน PISA จะเพิ่มการวัดทักษะด้าน AI Literacy ซึ่งสะท้อนว่าประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญกับการสร้างความเข้าใจ AI ตั้งแต่ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน แม้ในปัจจุบันเด็กไทยจำนวนมากเริ่มใช้ AI ช่วยในการค้นหาข้อมูลแล้ว แต่การใช้งานส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับพื้นฐาน เช่น การพิมพ์คำสั่งหรือ Prompt เพื่อหาคำตอบเบื้องต้น ซึ่งยังไม่เพียงพอสำหรับการนำไปต่อยอดสู่การทำงานจริงที่ต้องมีทักษะการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ด้วยเหตุนี้ BDI จึงได้พัฒนาหลักสูตร Micro-credential ด้าน Data Analytics และ AI เพื่อยกระดับการเรียนรู้จากการ “ใช้เครื่องมือ” ไปสู่การ “เข้าใจกลไกและการประยุกต์ใช้” อย่างมีวิจารณญาณ และสามารถเชื่อมโยงผลการเรียนรู้เข้าสู่กรอบคุณวุฒิแห่งชาติ (NQF) และระบบ Credit Bank ได้อย่างเป็นรูปธรรม หลักสูตรดังกล่าวเป็นการเรียนรู้ในรูปแบบออนไลน์ ระยะเวลารวม 20 ชั่วโมง ครอบคลุมทั้งการเรียนผ่านวิดีโอและการลงมือปฏิบัติจริง เนื้อหาเริ่มตั้งแต่พื้นฐานของ AI และการนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน การสอนให้ AI จำแนกและวิเคราะห์ข้อมูล เช่น การแยกประเภทข้อมูลภาพและการตรวจจับวัตถุ ไปจนถึงการใช้ Generative AI อย่างมีตรรกะ ควบคู่กับการปลูกฝังความรับผิดชอบด้านข้อมูลและจริยธรรมของ AI โดยออกแบบให้เหมาะกับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายทั้งสายวิทยาศาสตร์และสายศิลปศาสตร์ สำหรับผู้เรียน หลักสูตร Micro-credentials จะช่วยเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจด้าน AI และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ผ่านรูปแบบการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น สามารถเข้าถึงบทเรียนและทบทวนความรู้ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ได้ทุกที่ทุกเวลา ขณะที่ผู้สอนจะได้รับการสนับสนุนทั้งคู่มือการจัดการเรียนรู้ สื่อการสอน เครื่องมือ AI ที่ใช้ในหลักสูตร การอบรมเชิงปฏิบัติการเตรียมความพร้อมก่อนเปิดสอน รวมถึงการสนับสนุนด้านวิชาการตลอดภาคเรียน ช่วยลดภาระในการพัฒนาเนื้อหาและยกระดับศักยภาพการจัดการเรียนรู้ยุคใหม่ การดำเนินงานในระยะแรก BDI ได้เริ่มนำร่องโครงการในจังหวัดกาญจนบุรี มีโรงเรียนเข้าร่วมจำนวน 8 แห่ง ครอบคลุมทั้งในกลุ่มโรงเรียนโครงการกองทุนการศึกษาและโรงเรียนเครือข่ายคุณธรรม ทั้งนี้ BDI พร้อมสนับสนุนคู่มือสำหรับครู และข้อมูลสำหรับติดตามความก้าวหน้าของนักเรียน เช่น สถิติการเข้าชมบทเรียนและการทำแบบทดสอบ เพื่อให้ครูผู้สอนสามารถดูแลการเรียนรู้ได้อย่างใกล้ชิด “การเรียนรู้ AI ในวันนี้เปรียบเสมือนการฝึกใช้เครื่องมือใหม่ที่ทรงพลัง หากเราสอนให้เด็กเข้าใจทั้งกลไกและการประยุกต์ใช้ ไม่ใช่เพียงการใช้งานในระดับพื้นฐาน เด็กไทยก็จะมีแต้มต่อสำคัญในการแข่งขันบนเวทีโลกในอนาคต” ดร.สุนทรีย์ กล่าวทิ้งท้าย
25 December 2025

บทความ

ทำอย่างไรให้องค์กรของคุณ “ถูก AI แนะนำ” เมื่อมีคนค้นหาบริการ 
โลกดิจิทัลกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จากยุคที่การค้นหาข้อมูลเริ่มต้นด้วยการพิมพ์คำใน Google มาสู่ยุคที่ผู้คน “ถาม” ผู้ช่วยอัจฉริยะ (AI Assistant) เพื่อขอคำตอบที่กระชับ เข้าใจง่าย และเป็นธรรมชาติมากขึ้น ไม่ว่าจะถามเรื่องทั่วไป ขอคำแนะนำทางธุรกิจ หรือแม้แต่ค้นหาว่า “บริการด้าน AI สำหรับองค์กรมีที่ไหนบ้าง” คำตอบแรกที่ AI ให้ อาจเป็นจุดเปลี่ยนของการตัดสินใจทันที  คำถามสำคัญคือ หากมีคนถาม AI ถึงบริการที่คุณมี องค์กรของคุณจะถูกพูดถึงหรือไม่? ถ้าคำตอบคือ “ยังไม่แน่ใจ” บทความนี้จะพาคุณเข้าใจแนวทางสำคัญในการทำให้องค์กร “ถูกมองเห็น” และ “ถูกแนะนำ” ในโลกที่การค้นหากำลังถูกขับเคลื่อนโดย AI  จาก Search Engine Optimization (SEO) สู่ AI Visibility  ในทศวรรษที่ผ่านมา องค์กรจำนวนมากลงทุนกับ SEO เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับบน Google แต่วันนี้ พฤติกรรมของผู้ใช้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง หลายคนไม่จำเป็นต้องคลิกเข้าเว็บไซต์เพื่อหาคำตอบอีกต่อไป เพราะเพียงถาม AI ผู้ช่วยอัจฉริยะก็จะสรุปคำตอบที่ดีที่สุดให้ทันที  นั่นหมายความว่า ต่อให้เว็บไซต์ของคุณอยู่หน้าแรกของ Google ก็ไม่ได้แปลว่าจะถูก AI นำมาใช้ตอบคำถามเสมอไป หากข้อมูลไม่ชัดเจนหรือไม่อยู่ในรูปแบบที่ AI เข้าถึงได้ ก็มีโอกาส “หายไปจากการมองเห็น”  ดังนั้น กลยุทธ์ใหม่ขององค์กรในยุคนี้คือการสร้าง “AI Visibility” หมายถึงการทำให้องค์กรและบริการของคุณปรากฏในคำตอบของผู้ช่วยอัจฉริยะอย่างเป็นระบบ  ทำไม AI ถึงเลือกแนะนำบางองค์กร แต่ไม่ใช่ทุกองค์กร?  AI Assistant ไม่ได้สุ่มเลือกชื่อองค์กรขึ้นมาตามใจ แต่วิเคราะห์จากข้อมูลหลายแหล่ง เช่น เว็บไซต์ที่เปิดเผยสู่สาธารณะ ข่าว บทความ หรือกรณีศึกษาที่อ้างถึงองค์กร รวมถึงข้อมูลเชิงโครงสร้าง (Structured Data) อย่าง Schema Markup หรือ FAQ (คำถามที่พบบ่อย) ที่ทำให้ระบบเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น  หากองค์กรไม่มีข้อมูลเหล่านี้ หรือมีแต่กระจัดกระจายและไม่ชัดเจน โอกาสที่จะถูก AI หยิบไปพูดถึงก็แทบจะไม่มี  กลยุทธ์สำคัญที่ทำอย่างไรให้องค์กร “ถูกมองเห็น” โดย AI  ประโยชน์ที่องค์กรจะได้รับ  เมื่อองค์กรเตรียมข้อมูลพร้อมและเป็นระบบ ผลลัพธ์ที่ตามมาคือโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ แม้ผู้ใช้ไม่เคยเข้าเว็บไซต์ของคุณโดยตรง แต่ก็อาจรู้จักผ่านการแนะนำของ AI นอกจากนี้ยังช่วยลดภาระงานซ้ำซ้อน เพราะ AI สามารถตอบคำถามพื้นฐานแทนเจ้าหน้าที่ได้ อีกทั้งยังเสริมภาพลักษณ์องค์กรให้ดูน่าเชื่อถือและทันสมัย ในโลกที่การค้นหากำลังเปลี่ยนจาก “พิมพ์คำค้น” ไปสู่ “การถาม AI” องค์กรที่ปรับตัวก่อนคือผู้ที่ได้เปรียบ เพราะการมีข้อมูลที่ครบ ชัด และเข้าใจง่ายคือกุญแจสำคัญให้ AI “เห็น” และ “พูดถึง” คุณก่อนใคร  Big Data Institute พร้อมเป็นพันธมิตรเบื้องหลังองค์กรไทยในยุค AI Search  BDI มุ่งช่วยให้องค์กรของคุณ “พร้อมต่อการถูกมองเห็นในสายตาของ AI” ด้วยแนวทางแบบครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ตั้งแต่การวางกลยุทธ์ข้อมูล การสร้างระบบที่ AI เข้าใจ ไปจนถึงการพัฒนาศักยภาพของบุคลากร เพื่อให้องค์กรสามารถก้าวสู่ยุค AI ได้อย่างมั่นใจ  เริ่มจากการ วิเคราะห์และออกแบบกลยุทธ์ข้อมูล ที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายทางธุรกิจขององค์กร เพื่อวางรากฐานที่มั่นคงในการใช้ข้อมูลและ AI อย่างมีทิศทาง ต่อด้วยการ จัดการข้อมูลอย่างเป็นระบบ (Data Management & Governance) เพื่อให้ข้อมูลมีความถูกต้อง ปลอดภัย และพร้อมสำหรับการนำไปใช้ในการประมวลผลของ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ทั้งนี้ BDI ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาความรู้และทักษะของบุคลากร ผ่านหลักสูตรอบรมและเวิร์กชอปที่ออกแบบเฉพาะสำหรับภาครัฐและเอกชน เพื่อสร้างทีมงานที่เข้าใจ AI อย่างแท้จริง และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในงานได้จริง ทั้งหมดนี้ คือแนวทางที่ BDI ใช้ในการยกระดับองค์กรไทยให้พร้อมสำหรับโลกที่การมองเห็นไม่ได้อยู่แค่บนหน้าจอ Search Engine อีกต่อไป แต่เกิดขึ้นใน “AI Visibility” ที่เป็นผู้ช่วยและผู้แนะนำของผู้คนทั่วโลก  เอกสารอ้างอิง Ahrefs. “The Complete AI Visibility Guide for SEOs, Marketers, and Site Owners.” Ahrefs Blog, Feb. 2025, https://ahrefs.com/blog/ai-visibility  Semrush. “AI Visibility: How to Track & Grow Your Brand Presence in LLMs.” Semrush Blog, Mar. 2025, https://www.semrush.com/blog/ai-visibility  “Large Language Models for Structured and Semi-Structured Data.” Electronics, vol. 14, no. 15, 2025, p. 3153. MDPI, https://www.mdpi.com/2079-9292/14/15/3153  Frontiers in Artificial Intelligence. “Enhancing Structured Data Generation with GPT-4o: Evaluating Prompt Styles.” Frontiers in Artificial Intelligence, 2025, https://www.frontiersin.org/articles/10.3389/frai.2025.1558938/full  “AI Alignment: Assessing the Global Impact of Recommender Systems.” Futures, 2024, ScienceDirect, https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S0016328724000661  WebFX. “30+ AI Visibility Tools for Brand Monitoring in 2025.” WebFX Blog, 2025, https://www.webfx.com/blog/ai/ai-visibility-tools  SurgeAI. “Best Practices for AI Visibility SEO: Your 2025 Roadmap.” SurgeAI Blog, 2025, https://surgeaio.com/blog/best-practices-for-ai-visibility-seo  Arxiv. “A Review of...
25 December 2025

บทความ

BDI x กอช. ยกระดับการบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ พัฒนาศักยภาพด้าน Big Data และเทคโนโลยีดิจิทัล
18 ธันวาคม 2568, กรุงเทพฯ – สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI ร่วมกับกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือ โครงการพัฒนาศักยภาพด้านการจัดการข้อมูล จากข้อมูลขนาดใหญ่ เพื่อพัฒนาการใช้ประโยชน์จากข้อมูล ณ กองทุนการออมแห่งชาติ อาคาร เอส เอ็ม ทาวเวอร์ ดร.สุนทรีย์ ส่งเสริม รองผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ กล่าวว่า ในฐานะหน่วยงานที่ขับเคลื่อนการใช้ข้อมูลเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม BDI ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนหน่วยงานภาครัฐในการวางรากฐานการจัดการข้อมูลให้มีความเป็นระบบและได้มาตรฐาน ความร่วมมือกับกองทุนการออมแห่งชาติในครั้งนี้จึงมุ่งเน้นตั้งแต่กระบวนการรวบรวมและจัดเก็บข้อมูล การจัดทำบัญชีข้อมูล (Data Catalog) การกำหนดกรอบธรรมาภิบาลข้อมูล (Data Governance) ไปจนถึงการประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ เพื่อให้ข้อมูลสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และเกิดความเชื่อมั่นในการใช้งาน พร้อมกันนี้ ยังมุ่งส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านข้อมูล ให้สามารถเข้าใจและดำเนินงานด้านการจัดการข้อมูลได้ครบทุกมิติ ตั้งแต่การจัดการข้อมูลตามมาตรฐานสากล ไปจนถึงการนำข้อมูลไปใช้สนับสนุนการวิเคราะห์และการตัดสินใจเชิงนโยบาย ซึ่งจะช่วยให้หน่วยงานภาครัฐสามารถปรับการทำงานไปสู่การบริหารจัดการบนฐานข้อมูลได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยเปิดโอกาสให้ข้อมูลภาครัฐถูกนำมาเชื่อมโยงและต่อยอดในภาพรวมระดับประเทศ ส่งเสริมการใช้ข้อมูลให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม สนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบายที่มีความแม่นยำ และยกระดับการให้บริการภาครัฐตอบโจทย์ประชาชนมากยิ่งขึ้น ด้านนางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) กล่าวว่า กอช. เป็นกองทุนบำนาญภาคประชาชน สำหรับกลุ่มแรงงานนอกระบบ มีจุดมุ่งหมายสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม สร้างหลักประกันที่มั่นคงให้คนไทยที่มีอาชีพอิสระ อายุระหว่าง 15 – 60 ปี เริ่มออมได้ตั้งแต่ 50 บาท สูงสุด 30,000 บาทต่อปี พร้อมรับเงินสมทบจากรัฐสูงสุดถึง 100% แต่ไม่เกิน 1,800 บาทต่อปี ตามช่วงอายุ จึงทำให้ กอช. ต้องสะสมฐานข้อมูลสมาชิก ข้อมูลการดำเนินงาน รวมถึงเตรียมความพร้อมในการสะสมฐานข้อมูลการดำเนินงานของ สลาก กอช. ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ความร่วมมือในครั้งนี้ จะสามารถนำ Big Data มาเป็นขุมทรัพย์ทางปัญญา เพื่อช่วยตัดสินใจในการบริหารจัดการข้อมูล (Data-Driven Decision Making) รวมถึงเห็นภาพรวมทิศทางการตลาดของกองทุนการออมแห่งชาติได้อย่างแม่นยำในเรื่องการพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดสำหรับ กอช. และสลาก กอช. ให้ตรงความต้องการของผู้ใช้บริการ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมวินัยการออมของประชาชน เพิ่มโอกาสให้แรงงานนอกระบบมีเงินบำนาญ และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการกองทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ กอช. และ BDI จะร่วมกันพัฒนาองค์ความรู้และส่งเสริมกระบวนการจัดการข้อมูลหน่วยงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ช่วยสร้างธรรมาภิบาลข้อมูล โดยทั้งสองหน่วยงานได้บันทึกความเข้าใจความร่วมมือใน 4 ด้านหลัก ได้แก่ 1) การส่งเสริมและพัฒนาองค์ความรู้ด้านการจัดการข้อมูล 2) การพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ ความเข้าใจการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับข้อมูล 3) การส่งเสริมกระบวนการจัดการข้อมูลตามมาตรฐานสากล และ 4) การสนับสนุนข้อมูลเพื่อประโยชน์ส่วนรวมในการขับเคลื่อนประเทศ
18 December 2025

บทความ

BDI ร่วมกับ ดีป้า และ TCT ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวไทย ด้วยข้อมูลขนาดใหญ่ ปัญญาประดิษฐ์ และดิจิทัล
17 ธันวาคม 2568, กรุงเทพฯ – BDI จับมือ ดีป้า และ TCT ประกาศความร่วมมือการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวไทยด้วยข้อมูลขนาดใหญ่ ปัญญาประดิษฐ์ และดิจิทัล พร้อมวางแผนเดินสายถ่ายทอดองค์ความรู้และกลไกส่งเสริมใน 9 พื้นที่ เชื่อความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยวางรากฐานให้ทุกภาคส่วนสามารถใช้ข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์เป็นเครื่องมือยกระดับการทำงาน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวของไทยให้เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า และ สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (TCT) ประกาศความร่วมมือการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวไทยด้วยข้อมูลขนาดใหญ่ ปัญญาประดิษฐ์ และดิจิทัล (Shaping Thai Tourism by Big Data, AI & Digital Transformation) โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมงานโดยพร้อมเพรียง ณ อาคาร ดีป้า (สำนักงานใหญ่) ซอยลาดพร้าว 10 เขตจตุจักร นางสาววิชุพรรณ ภูเก้าล้วน ศรีสัญญา รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดท่องเที่ยวโลกมีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ สังคม พฤติกรรมนักท่องเที่ยว รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ทำให้การบริหารจัดการและการกำหนดนโยบายจำเป็นต้องอาศัยข้อมูลที่ถูกต้อง ครอบคลุม ทันสมัย เพื่อประกอบการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเหตุนี้ ข้อมูลขนาดใหญ่และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการยกระดับการวิเคราะห์เชิงลึก ทั้งด้านพฤติกรรมนักท่องเที่ยว แนวโน้มการเดินทาง ความต้องการของตลาด และการคาดการณ์เชิงสถิติ ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้ทั้งในเชิงนโยบายภาครัฐ และเชิงกลยุทธ์ของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ทั้งนี้เพื่อตอบรับกับความต้องการในการยกระดับศักยภาพ BDI และ ดีป้า จึงเข้ามาสนับสนุนด้านเทคโนโลยีและเครื่องมือดิจิทัลที่สำคัญของความร่วมมือการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวไทยด้วยข้อมูลขนาดใหญ่ ปัญญาประดิษฐ์ และดิจิทัล ด้าน ศ. ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (BDI) กล่าวว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ขณะที่ตลาดท่องเที่ยวโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้การบริหารจัดการและการกำหนดทิศทางเชิงนโยบายต้องอาศัยข้อมูลที่ถูกต้องและทันสมัย ซึ่งข้อมูลขนาดใหญ่และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มีบทบาทสำคัญที่จะช่วยให้หน่วยงานและผู้ประกอบการเข้าใจพฤติกรรมนักท่องเที่ยว แนวโน้มการเดินทาง และความต้องการของตลาดได้อย่างลึกซึ้ง อีกทั้งนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ เพิ่มความแม่นยำในการวางแผน และยกระดับการตัดสินใจให้สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ BDI ได้พัฒนาแพลตฟอร์มอัจฉริยะด้านการท่องเที่ยวแห่งชาติ (TRAVEL LINK) เพื่อเป็นเครื่องมือกลางในการรวบรวม เชื่อมโยง และบริหารจัดการข้อมูลการท่องเที่ยวจากหลากหลายแหล่ง อีกทั้งเปิดโอกาสให้หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ สามารถนำไปต่อยอดด้วยการวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจได้อย่างเป็นรูปธรรมในระดับพื้นที่และระดับประเทศ โดย BDI มองว่า การนำข้อมูลและแพลตฟอร์มไปใช้ให้เกิดผลลัพธ์อย่างแท้จริง และสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานเชิงนโยบายและเชิงธุรกิจ จำเป็นต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านการท่องเที่ยว จึงเป็นที่มาของโครงการอบรมภายใต้ความร่วมมือกับ TCT และ ดีป้า เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ และทักษะการใช้ข้อมูลขนาดใหญ่และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ให้กับบุคลากรภาครัฐและภาคเอกชน ขณะที่ ดร.ปรีสาร รักวาทิน รักษาการรองผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าวว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยวมีความสำคัญอย่างยิ่งในบริบทของเศรษฐกิจไทย โดยมีสัดส่วนต่อ GDP ที่สูงและมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจฐานรากอย่างมหาศาล ด้วยเหตุนี้ ดีป้า จึงได้ร่วมกับ TCT และ BDI สนับสนุนภาคการท่องเที่ยว โดยส่งเสริมให้เกิดการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์มาประยุกต์ใช้ ซึ่ง ดีป้า ได้ทำงานภายใต้กลไก AI Transformation ที่ครอบคลุมทั้งการเตรียมพร้อมกำลังคนดิจิทัล ควบคู่กับการยกระดับ Digital & AI Solution ซึ่งเปรียบเสมือนโครงสร้างพื้นฐานสำคัญแห่งโลกอนาคต นอกจากนี้ ดีป้า ยังได้ดำเนินโครงการ AI Transformation โดยส่งเสริมให้เกิดการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลที่ขึ้นทะเบียนบนบัญชีบริการดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม และภาคเกษตรกรรม ผ่านการสนับสนุนใน 2 รูปแบบ ได้แก่ การยกระดับธุรกิจด้วยดิจิทัลตามมาตรการ d-transform และการส่งเสริมการเริ่มต้นใช้งานดิจิทัลผ่านมาตรการ d-voucher ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://aitransform.depa.or.th ทั้งนี้ สามหน่วยงานพร้อมเดินหน้าถ่ายทอดองค์ความรู้และกลไกส่งเสริมการนำเทคโนโลยีดิจิทัล ข้อมูลขนาดใหญ่ และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาประยุกต์ใช้ พร้อมตั้งเป้าขยายการดำเนินงานให้ครอบคลุม 22 จังหวัดท่องเที่ยวหลัก เพื่อยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในระดับสากล โดยในระยะเริ่มต้นจะจัดกิจกรรมโรดโชว์เพื่ออบรม ถ่ายทอดองค์ความรู้ใน 9 พื้นที่นำร่อง ได้แก่ จังหวัดเชียงราย อุดรธานี ขอนแก่น บุรีรัมย์ ระยอง พระนครศรีอยุธยา กระบี่ พื้นที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์และเพชรบุรี และพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว และผู้ที่สนใจใช้ประโยชน์จากข้อมูลด้านการท่องเที่ยว รวมไม่น้อยกว่า 1,000 คน ทุกหน่วยงานเชื่อว่า ความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นส่วนสำคัญในการวางรากฐานให้ทุกภาคส่วนสามารถใช้ข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์เป็นเครื่องมือยกระดับการทำงาน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และขับเคลื่อนการท่องเที่ยวไทยให้เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว
17 December 2025

บทความ

เปิดเบื้องหลังแดชบอร์ด Rice Supply พยากรณ์ผลผลิตข้าวล่วงหน้า แก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำ
ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน จะเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยวข้าวนาปี ซึ่งจะมีผลผลิตข้าวปริมาณมากออกสู่ตลาดพร้อมกัน และอาจส่งผลต่อเสถียรภาพราคาข้าว นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือระหว่าง สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ กับ สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) โดย ดร.อิสระพงศ์ เอกสินชล ผู้จัดการโครงการและนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลอาวุโส BDI ได้รับมอบหมายภารกิจในการวิเคราะห์ว่า พื้นที่อำเภอไหน จังหวัดใดมีแนวโน้มที่ผลผลิตข้าวจะออกมาล้นตลาด เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถเตรียมมาตรการรองรับได้อย่างเหมาะสม การลงรายละเอียดในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้สามารถออกนโยบายช่วยเหลือชาวนาได้อย่างแม่นยำ จึงเป็นเป้าหมายสำคัญของภารกิจนี้ โดยภายใน 2 วันหลังจากได้รับโจทย์ ดร.อิสระพงศ์ ได้เขียนโปรแกรมประมวลผลข้อมูล และพัฒนาแดชบอร์ดแสดงผลคาดการณ์ผลผลิตข้าวจากภาพถ่ายดาวเทียมของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อแสดงสถานการณ์ผลผลิตข้าวรายพื้นที่ในแต่ละช่วงเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ปริมาณผลผลิตเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอในเชิงนโยบาย ทำอย่างไรถึงจะจำแนกชนิดพันธุ์ข้าวที่เพาะปลูก เช่น ข้าวหอมมะลิ ข้าวขาว และข้าวเหนียว ในแต่ละพื้นที่ได้ ? เพราะมีความสำคัญต่อการบริหารจัดการการตลาด ทีมงานจึงมีการบูรณาการข้อมูลการขึ้นทะเบียนปลูกข้าวของเกษตรกร จากกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มาวิเคราะห์ร่วมกันกับข้อมูลของ GISTDA ทำให้สามารถจำแนกชนิดพันธุ์ข้าวในแต่ละพื้นที่ในแต่ละช่วงเวลาได้อย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ กำลังการผลิตของโรงสีในพื้นที่ ซึ่งบ่งชี้ถึงความสามารถในการรองรับปริมาณผลผลิตข้าวในแต่ละพื้นที่ที่แตกต่างกัน ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการประเมินสถานการณ์ปริมาณข้าวล้นตลาดด้วยเช่นกัน จึงได้มีการนำข้อมูลนี้จากกรมการค้าภายใน มาวิเคราะห์เพื่อประเมินศักยภาพการรองรับผลผลิต และความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะผลผลิตล้นตลาด ในแต่ละพื้นที่ได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้ คือ “ระบบคาดการณ์ผลผลิตข้าวนาปีล่วงหน้า” ที่เกิดขึ้นจากการบูรณาการข้อมูลจากหลายหน่วยงานภาครัฐเข้าด้วยกัน ซึ่งสามารถส่งต่อให้สำนักงานพาณิชย์ในแต่ละจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ใช้เป็นข้อมูลประกอบการติดตามสถานการณ์ และพิจารณามาตรการด้านการตลาดข้าวได้อย่างตรงจุด เกิดประสิทธิผลเชิงนโยบาย สอดคล้องกับสถานการณ์จริงตามบริบทของแต่ละพื้นที่ โดยในระยะต่อไป มีแผนต่อยอดการพัฒนาระบบคาดการณ์ผลผลิตไปสู่พืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง และอ้อย เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการสินค้าเกษตรในภาพรวม เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร และรายได้ของพี่น้องเกษตรกรให้มีความมั่นคง เบื้องหลังแดชบอร์ด จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของเทคโนโลยี แต่คือความเชี่ยวชาญในการทำงานของบุคลากรเฉพาะด้าน ที่มาร่วมมือกันและนำข้อมูลจากหลายแหล่งมาประมวลผลอย่างเป็นระบบ เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบายบนฐานข้อมูลที่รอบด้าน “นี่คือ อีกหนึ่งภารกิจของ BDI ในการสนับสนุนการใช้ข้อมูลเพื่อการกำหนดนโยบาย ภายใต้แนวคิด Data-Driven Nation”
15 December 2025

บทความ

BDI ลุยเสริมทักษะ AI ให้บุคลากรสถาบันวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีชุมชน เตรียมพร้อมสู่ยุควิทยาศาสตร์ดิจิทัลและสนับสนุนงานวิจัยเชิงพื้นที่
ระหว่างวันที่ 10 – 14 พฤศจิกายน 2568, กรุงเทพฯ – สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI โดยฝ่ายพัฒนากำลังคน จัดโครงการ “ยกระดับศักยภาพบุคลากรด้านปัญญาประดิษฐ์ เพื่อสนับสนุนการวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเชิงพื้นที่ (ระยะที่ 1)” เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ และทักษะเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ให้กับบุคลากรของสถาบันวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีชุมชนและหน่วยงานในสังกัดกรมวิทยาศาสตร์บริการ โดยมีผู้เข้าร่วมอบรมมากกว่า 100 ท่าน ณ โรงแรมเดอ ไพรม์ รางน้ำ ตลอดระยะเวลา 4 วันของการอบรมดังกล่าว ผู้เข้าร่วมอบรมได้เรียนรู้ครอบคลุมทั้งเนื้อหาพื้นฐานและการประยุกต์ใช้ AI เชิงลึก เพื่อสนับสนุนการทำงานด้านข้อมูลและงานวิจัยเชิงพื้นที่ที่มีความซับซ้อนเพิ่มขึ้น ผ่านการออกแบบ 3 หลักสูตรสำคัญ ได้แก่ หลักสูตรนี้ได้จัดกิจกรรมอย่างเข้มข้น เริ่มตั้งแต่การบรรยายเชิงวิชาการ กรณีศึกษา ตลอดจนการ Workshop เพื่อให้ผู้เข้าร่วมสามารถลงมือปฏิบัติจริงได้อย่างเต็มที่ พร้อมมอบประกาศนียบัตรรับรองการเข้าร่วมอบรม โครงการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะของบุคลากรด้านดิจิทัล และส่งเสริมการพัฒนางานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเชิงพื้นที่ของกรมวิทยาศาสตร์บริการให้มีประสิทธิผลอย่างยั่งยืน
14 November 2025

บทความ

Health Link คว้ารางวัล Public Sector Day Thailand Innovation Award 2025 ตอกย้ำความโดดเด่นด้านนวัตกรรม และศักยภาพในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาพัฒนาเพื่อยระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน
6 พฤศจิกายน 2568, กรุงเทพฯ – ศ. ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (BDI) พร้อมด้วย นพ.ธนกฤต จินตวร First Executive Vice President, พญ.ปฐมพร ศิรประภาศิริ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านบูรณาการข้อมูล นางสาวน้ำฝน ประโพธิ์ศรี ผู้อำนวยการโครงการ Health Link และทีมเจ้าหน้าที่โครงการ ร่วมขึ้นรับรางวัล Public Sector Day Thailand Innovation Award 2025 ซึ่งจัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่าง Amazon Web Services (AWS) และ GovInsider ณ โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก รางวัลนี้เป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นของ BDI ในการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อยกระดับบริการภาครัฐ และสร้างระบบนิเวศข้อมูล (Data Ecosystem) ที่โปร่งใส ปลอดภัย และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน โดยโครงการ “Health Link” ถือเป็นนวัตกรรมสำคัญของประเทศไทยที่ทำให้การเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพระหว่างสถานพยาบาลทั่วประเทศเกิดขึ้นได้จริง ช่วยให้แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์สามารถเข้าถึงข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยได้อย่างปลอดภัย ถูกต้อง และรวดเร็ว ลดความซ้ำซ้อนของการตรวจรักษา และเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลสุขภาพของประชาชนในทุกพื้นที่ โครงการ Health Link ยังเป็นตัวอย่างของการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Cloud และ AI ในการบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อน Digital Thailand ให้ก้าวสู่ประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven Nation) อย่างแท้จริง นอกจากนี้ ผู้อำนวยการ BDI ยังได้ร่วมบรรยายพิเศษในหัวข้อ “Thailand Public Sector Spotlight: Transforming AI for Citizen Experience – BDI’s HealthLink and National AI Strategy” เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ วิสัยทัศน์ และแนวทางการใช้ AI เพื่อยกระดับประสบการณ์ของประชาชน รวมถึงบทบาทของ BDI ในฐานะหน่วยงานภาครัฐที่มุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมสู่อนาคตของบริการภาครัฐดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับงาน Public Sector Day เป็นเวทีสำคัญที่จัดขึ้นเพื่อผู้นำในภาครัฐ ภาคการศึกษา และวงการสาธารณสุขในภูมิภาคอาเซียน โดยในประเทศไทยมีผู้บริหารภาครัฐ ผู้กำหนดนโยบาย และผู้นำด้านเทคโนโลยีกว่า 500 คน เข้าร่วมแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ แบ่งปันความสำเร็จ และเปิดมุมมองใหม่ในการพลิกโฉมการให้บริการประชาชนด้วย Cloud และ AI
6 November 2025

บทความ

ผอ.BDI แนะ 3 รูปแบบ AI พลิกโฉมอุตสาหกรรมประกันภัยไทย – เน้นใช้ข้อมูลอย่างรับผิดชอบในยุคปัญญาประดิษฐ์
29 ตุลาคม 2568, กรุงเทพฯ – ศ. ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (BDI) ร่วมบรรยายในงาน “InsurTech Summit 2025” ภายใต้หัวข้อ “Insurance in the Age of AI” พร้อมเผย 3 รูปแบบ AI พลิกโฉมอุตสาหกรรม และความท้าทายด้านธรรมาภิบาลข้อมูล ยืนยัน “AI จะไม่มาแทนที่คน แต่คนที่ใช้ AI ไม่เป็นต่างหากที่อาจถูกแทนที่” ผอ.BDI อธิบายว่า ปัญญาประดิษฐ์ (AI) สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทสำคัญ ได้แก่ 1. Traditional AI – หรือที่รู้จักกันในชื่อ Machine Learning และ Data Science ใช้ข้อมูลในรูปแบบตารางเพื่อวิเคราะห์และทำนายแนวโน้ม เช่น การวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าหรือความเสี่ยง 2. Generative AI – ระบบที่สามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ได้ เช่น การเขียนข้อความ วาดภาพ หรือสรุปเนื้อหาอัตโนมัติ ตัวอย่างที่คุ้นเคยคือ ChatGPT และ 3. Agentic AI – การรวมบอทหลายตัวทำงานร่วมกันในลักษณะ Workflow อัตโนมัติ เช่น ระบบ Call Center หรือกระบวนการเบิกจ่ายในหน่วยงานภาครัฐ AI กำลังเข้ามาช่วยยกระดับอุตสาหกรรมประกันภัยไทยอย่างไร ผอ.BDI มองว่า AI กำลังเข้ามาช่วยให้ธุรกิจประกันภัยทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น ระบบแนะนำประกันเฉพาะบุคคล (Personalized Insurance): วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าเพื่อเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตรงใจ ระบบตรวจจับความผิดปกติ (Anomaly Detection): ใช้ตรวจสอบการเบิกจ่ายผิดปกติ หรือพฤติกรรมเสี่ยงของผู้ขับขี่ และการประเมินความเสี่ยงเชิงสุขภาพและอาคาร: ใช้ข้อมูลจากเซ็นเซอร์เพื่อลดอุบัติเหตุ เช่น ตรวจจับอาการหลับใน หรือแรงดันท่อรั่วในอาคาร และเมื่อ AI ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย คำถามสำคัญจึงอยู่ที่ “ความรับผิดชอบ” และ “ความน่าเชื่อถือของข้อมูล” โดย ผอ.BDI ย้ำถึง 5 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1. อคติของข้อมูล (Bias) – หากข้อมูลที่ใช้ฝึก AI ลำเอียง ผลลัพธ์ก็จะลำเอียงตามไปด้วย 2. อคติทางวัฒนธรรม (Cultural Bias) – ภาษาไทยมีเพียง 0.4% ในชุดข้อมูลโลก ทำให้ AI ต่างชาติอาจไม่เข้าใจบริบทไทย 3. ข้อมูลเท็จจาก Generative AI (Hallucination) – จำเป็นต้องมีระบบตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ 4. กฎหมายและความรับผิดชอบ (Compliance & Liability) – ต้องคำนึงถึง PDPA และลิขสิทธิ์ของผลงานที่ AI สร้างขึ้น และ 5. การปรับตัวของคน – การเรียนรู้การใช้ AI อย่างมีสติเป็นทักษะจำเป็นในยุคดิจิทัล นอกจากนี้เจ้าหน้าที่โครงการ Health Link ได้ร่วมจัดแสดงนิทรรศการภายในงาน InsurTech Summit 2025 ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ภายใต้แนวคิด “Co-Creating the Future of Insurance, Powering the Community” ณ ศูนย์ ซี อาเซียน รัชดา (C asean Ratchada) มุ่งสร้างสรรค์อนาคตประกันภัย จุดพลังสังคมให้เติบโตและยั่งยืน โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากวงการบริษัทประกันภัย บริษัทนายหน้าประกันภัย และบริษัทเทคโนโลยี (Tech Startup) ชั้นนำจากนานาประเทศเข้าร่วมกว่า 300 คน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนอนาคตของอุตสาหกรรมประกันภัยไทยสู่การเป็น Insurance Community ระดับสากล
29 October 2025

บทความ

ดีอี - สธ. เห็นชอบเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพผ่านระบบ Health Link - หมอพร้อม วางรากฐานสู่บริการสุขภาพดิจิทัลไร้รอยต่อ
29 ตุลาคม 2568, นนทบุรี – นางสาวสุชาดา ซาง แทนทรัพย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และโฆษกกระทรวงดีอี ได้รับมอบหมายจาก นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) พร้อมด้วยนางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการเฉพาะด้านระบบสุขภาพดิจิทัล ครั้งที่ 1/2568 โดยมีนายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วยคณะทำงานจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ สำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่วมกันในการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพ ทั้งในและนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ผ่านระบบ Health Link และหมอพร้อม ขานรับนโยบาย “Quick Win” ของรัฐบาล เพื่อสร้างรากฐานสู่บริการสุขภาพดิจิทัลไร้รอยต่อ นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมุ่งยกระดับคุณภาพและมาตรฐานเทคโนโลยีด้านสุขภาพของประเทศ ภายใต้นโยบาย “หมอไม่ล้า ประชาชนไม่รอ เชื่อมต่อทุกบริการผ่านเทคโนโลยี” ซึ่งประเด็นสำคัญในการพิจารณาครั้งนี้ คือ การเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพข้ามกระทรวง และข้ามหน่วยงาน ถือเป็นก้าวสำคัญในการวางรากฐานธรรมาภิบาลด้านข้อมูลสุขภาพระดับชาติ และสร้างมาตรฐานใหม่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการปฎิรูประบบสุขภาพของประเทศ โดยการดำเนินงานเห็นชอบการเชื่อมโยง 4 มิติ คือ 1. เชื่อมโยงข้อมูลในระดับประเทศผ่านระบบ “หมอพร้อม” 2. เชื่อมโยงข้อมูลในระดับพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ผ่านระบบ Health Link 3. เชื่อมโยงระหว่างกระทรวงสาธารณสุข กับ สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มเข้าถึงบริการสุขภาพดีถ้วนหน้า (Health for all) และ 4. กรอบการจัดทำ พ.ร.บ.สุขภาพดิจิทัล เนื่องจากระบบสุขภาพไทยยังขาดกฎหมายกลางที่กำกับดูแลและเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพอย่างบูรณาการ กฎหมายที่มีอยู่ยังไม่ครอบคลุมการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพดิจิทัลและนวัตกรรมใหม่ นางสาวสุชาดา ซาง แทนทรัพย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และโฆษกกระทรวงดีอี เปิดเผยถึงความร่วมมือระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และกระทรวงสาธารณสุข ว่าเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาระบบข้อมูลสุขภาพของประเทศอย่างยั่งยืน โดยทั้งสองหน่วยงานได้ร่วมกันพัฒนาและผลักดันระบบ บริหารจัดการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพระดับประเทศ (Central Data Exchange Service: CDES) ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการเชื่อมโยงข้อมูลสารสนเทศสุขภาพจากหน่วยงานต่าง ๆ ทั่วประเทศ ระบบดังกล่าวจะทำงานเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์ม Health Link และกระทรวงสาธารณสุข เพื่อสร้าง ศูนย์กลางข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคลของประเทศ ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยสูงและสามารถนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านการดูแลสุขภาพ การบริหารจัดการบริการสาธารณสุข ตลอดจนการกำหนดนโยบายเชิงรุกเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงดีอี ที่ผลักดันการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการบริหารภาครัฐและแก้ไขปัญหาภัยสังคม โดยมุ่งเน้นการสร้างระบบบริการภาครัฐที่มีศักยภาพ โปร่งใส และเชื่อมโยงถึงกันอย่างไร้รอยต่อ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ศ. ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (BDI) กล่าวว่า การเชื่อมระบบ Health Link  และระบบหมอพร้อม จะทำให้ประเทศไทยสามารถเชื่อมข้อมูลสุขภาพได้กว่า 15,000 แห่งทั่วประเทศ โดยทั้งสองระบบสามารถเชื่อมข้อมูลกันด้วยกลไกการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุดตามมาตรฐานสากล โดยระบบ Health Link ซึ่งพัฒนาโดย BDI  ได้ดำเนินงานเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพสถานพยาบาลนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุขในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และ 7 หน่วยนวัตกรรมที่ขึ้นทะเบียนในระบบสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ปัจจุบันเชื่อมโยงไปแล้วกว่า 8,000 แห่งทั่วประเทศ ดังนั้น การเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพทั้งในและนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ถือเป็นการนำร่องการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพเพื่อการรักษาพยาบาลในระดับประเทศ ขานรับนโยบาย Quick Win ของรัฐบาล การประชุมครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่สองกระทรวง ร่วมกันผลักดันแพลตฟอร์มเชื่อมโยงข้อมูลระบบสารสนเทศสุขภาพระดับประเทศ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนให้สามารถเข้ารับการรักษาได้ทุกที่ โดยไม่ต้องพกเอกสาร หรือกลับไปขอประวัติการรักษาจากโรงพยาบาลเดิม ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประเทศ และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ ที่สามารถเข้าถึงข้อมูลประกอบการวินิจฉัยได้อย่างครบถ้วน ลดการตรวจซ้ำซ้อน ป้องกันความผิดพลาดจากการสั่งยาที่ผู้ป่วยมีประวัติแพ้ เพิ่มคุณภาพการรักษา และทำให้ระบบสุขภาพโดยรวมสามารถบริหารจัดการข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่การการนำข้อมูลไปวิเคราะห์เพื่อวางแผนเชิงนโยบาย สร้างรากฐานสู่บริการสุขภาพดิจิทัลไร้รอยต่อที่ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนครอบคลุมทุกมิติ
29 October 2025
PDPA Icon

We use cookies to optimize your browsing experience and improve our website’s performance. Learn more at our Privacy Policy and adjust your cookie settings at Settings

Privacy Preferences

You can choose your cookie settings by turning on/off each type of cookie as needed, except for necessary cookies.

Accept all
Manage Consent Preferences
  • Strictly Necessary Cookies
    Always Active

    This type of cookie is essential for providing services on the website of the Personal Data Protection Committee Office, allowing you to access various parts of the site. It also helps remember information you have previously provided through the website. Disabling this type of cookie will result in your inability to use key services of the Personal Data Protection Committee Office that require cookies to function.
    Cookies Details

  • Performance Cookies

    This type of cookie helps the Big Data Institute (Public Organization) understand user interactions with its website services, including which pages or areas of the site are most popular, as well as analyze other related data. The Big Data Institute (Public Organization) also uses this information to improve website performance and gain a better understanding of user behavior. Although the data collected by these cookies is non-identifiable and used solely for statistical analysis, disabling them will prevent the Big Data Institute (Public Organization) from knowing the number of website visitors and from evaluating the quality of its services.

  • Functional Cookies

    This type of cookie enables the Big Data Institute (Public Organization)’s website to remember the choices you have made and deliver enhanced features and content tailored to your usage. For example, it can remember your username or changes you have made to font sizes or other customizable settings on the page. Disabling these cookies may result in the website not functioning properly.

  • Targeting Cookies

    "This type of cookie helps the Big Data Institute (Public Organization) understand user interactions with its website services, including which pages or areas of the site are most popular, as well as analyze other related data. The Big Data Institute (Public Organization) also uses this information to improve website performance and gain a better understanding of user behavior. Although the data collected by these cookies is non-identifiable and used solely for statistical analysis, disabling them will prevent the Big Data Institute (Public Organization) from knowing the number of website visitors and from evaluating the quality of its services.

Save settings