DataDrivenNation

DataDrivenNation

ข่าวและบทความที่เกี่ยวข้อง

Related news and articles

PostType Filter En

บทความ

Health Link คว้ารางวัล Public Sector Day Thailand Innovation Award 2025 ตอกย้ำความโดดเด่นด้านนวัตกรรม และศักยภาพในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาพัฒนาเพื่อยระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน
6 พฤศจิกายน 2568, กรุงเทพฯ – ศ. ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (BDI) พร้อมด้วย นพ.ธนกฤต จินตวร First Executive Vice President, พญ.ปฐมพร ศิรประภาศิริ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านบูรณาการข้อมูล นางสาวน้ำฝน ประโพธิ์ศรี ผู้อำนวยการโครงการ Health Link และทีมเจ้าหน้าที่โครงการ ร่วมขึ้นรับรางวัล Public Sector Day Thailand Innovation Award 2025 ซึ่งจัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่าง Amazon Web Services (AWS) และ GovInsider ณ โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก รางวัลนี้เป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นของ BDI ในการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อยกระดับบริการภาครัฐ และสร้างระบบนิเวศข้อมูล (Data Ecosystem) ที่โปร่งใส ปลอดภัย และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน โดยโครงการ “Health Link” ถือเป็นนวัตกรรมสำคัญของประเทศไทยที่ทำให้การเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพระหว่างสถานพยาบาลทั่วประเทศเกิดขึ้นได้จริง ช่วยให้แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์สามารถเข้าถึงข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยได้อย่างปลอดภัย ถูกต้อง และรวดเร็ว ลดความซ้ำซ้อนของการตรวจรักษา และเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลสุขภาพของประชาชนในทุกพื้นที่ โครงการ Health Link ยังเป็นตัวอย่างของการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Cloud และ AI ในการบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อน Digital Thailand ให้ก้าวสู่ประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven Nation) อย่างแท้จริง นอกจากนี้ ผู้อำนวยการ BDI ยังได้ร่วมบรรยายพิเศษในหัวข้อ “Thailand Public Sector Spotlight: Transforming AI for Citizen Experience – BDI’s HealthLink and National AI Strategy” เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ วิสัยทัศน์ และแนวทางการใช้ AI เพื่อยกระดับประสบการณ์ของประชาชน รวมถึงบทบาทของ BDI ในฐานะหน่วยงานภาครัฐที่มุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมสู่อนาคตของบริการภาครัฐดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับงาน Public Sector Day เป็นเวทีสำคัญที่จัดขึ้นเพื่อผู้นำในภาครัฐ ภาคการศึกษา และวงการสาธารณสุขในภูมิภาคอาเซียน โดยในประเทศไทยมีผู้บริหารภาครัฐ ผู้กำหนดนโยบาย และผู้นำด้านเทคโนโลยีกว่า 500 คน เข้าร่วมแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ แบ่งปันความสำเร็จ และเปิดมุมมองใหม่ในการพลิกโฉมการให้บริการประชาชนด้วย Cloud และ AI
6 November 2025

บทความ

ผอ.BDI แนะ 3 รูปแบบ AI พลิกโฉมอุตสาหกรรมประกันภัยไทย – เน้นใช้ข้อมูลอย่างรับผิดชอบในยุคปัญญาประดิษฐ์
29 ตุลาคม 2568, กรุงเทพฯ – ศ. ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (BDI) ร่วมบรรยายในงาน “InsurTech Summit 2025” ภายใต้หัวข้อ “Insurance in the Age of AI” พร้อมเผย 3 รูปแบบ AI พลิกโฉมอุตสาหกรรม และความท้าทายด้านธรรมาภิบาลข้อมูล ยืนยัน “AI จะไม่มาแทนที่คน แต่คนที่ใช้ AI ไม่เป็นต่างหากที่อาจถูกแทนที่” ผอ.BDI อธิบายว่า ปัญญาประดิษฐ์ (AI) สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทสำคัญ ได้แก่ 1. Traditional AI – หรือที่รู้จักกันในชื่อ Machine Learning และ Data Science ใช้ข้อมูลในรูปแบบตารางเพื่อวิเคราะห์และทำนายแนวโน้ม เช่น การวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าหรือความเสี่ยง 2. Generative AI – ระบบที่สามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ได้ เช่น การเขียนข้อความ วาดภาพ หรือสรุปเนื้อหาอัตโนมัติ ตัวอย่างที่คุ้นเคยคือ ChatGPT และ 3. Agentic AI – การรวมบอทหลายตัวทำงานร่วมกันในลักษณะ Workflow อัตโนมัติ เช่น ระบบ Call Center หรือกระบวนการเบิกจ่ายในหน่วยงานภาครัฐ AI กำลังเข้ามาช่วยยกระดับอุตสาหกรรมประกันภัยไทยอย่างไร ผอ.BDI มองว่า AI กำลังเข้ามาช่วยให้ธุรกิจประกันภัยทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น ระบบแนะนำประกันเฉพาะบุคคล (Personalized Insurance): วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าเพื่อเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตรงใจ ระบบตรวจจับความผิดปกติ (Anomaly Detection): ใช้ตรวจสอบการเบิกจ่ายผิดปกติ หรือพฤติกรรมเสี่ยงของผู้ขับขี่ และการประเมินความเสี่ยงเชิงสุขภาพและอาคาร: ใช้ข้อมูลจากเซ็นเซอร์เพื่อลดอุบัติเหตุ เช่น ตรวจจับอาการหลับใน หรือแรงดันท่อรั่วในอาคาร และเมื่อ AI ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย คำถามสำคัญจึงอยู่ที่ “ความรับผิดชอบ” และ “ความน่าเชื่อถือของข้อมูล” โดย ผอ.BDI ย้ำถึง 5 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1. อคติของข้อมูล (Bias) – หากข้อมูลที่ใช้ฝึก AI ลำเอียง ผลลัพธ์ก็จะลำเอียงตามไปด้วย 2. อคติทางวัฒนธรรม (Cultural Bias) – ภาษาไทยมีเพียง 0.4% ในชุดข้อมูลโลก ทำให้ AI ต่างชาติอาจไม่เข้าใจบริบทไทย 3. ข้อมูลเท็จจาก Generative AI (Hallucination) – จำเป็นต้องมีระบบตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ 4. กฎหมายและความรับผิดชอบ (Compliance & Liability) – ต้องคำนึงถึง PDPA และลิขสิทธิ์ของผลงานที่ AI สร้างขึ้น และ 5. การปรับตัวของคน – การเรียนรู้การใช้ AI อย่างมีสติเป็นทักษะจำเป็นในยุคดิจิทัล นอกจากนี้เจ้าหน้าที่โครงการ Health Link ได้ร่วมจัดแสดงนิทรรศการภายในงาน InsurTech Summit 2025 ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ภายใต้แนวคิด “Co-Creating the Future of Insurance, Powering the Community” ณ ศูนย์ ซี อาเซียน รัชดา (C asean Ratchada) มุ่งสร้างสรรค์อนาคตประกันภัย จุดพลังสังคมให้เติบโตและยั่งยืน โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากวงการบริษัทประกันภัย บริษัทนายหน้าประกันภัย และบริษัทเทคโนโลยี (Tech Startup) ชั้นนำจากนานาประเทศเข้าร่วมกว่า 300 คน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนอนาคตของอุตสาหกรรมประกันภัยไทยสู่การเป็น Insurance Community ระดับสากล
29 October 2025

บทความ

ดีอี - สธ. เห็นชอบเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพผ่านระบบ Health Link - หมอพร้อม วางรากฐานสู่บริการสุขภาพดิจิทัลไร้รอยต่อ
29 ตุลาคม 2568, นนทบุรี – นางสาวสุชาดา ซาง แทนทรัพย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และโฆษกกระทรวงดีอี ได้รับมอบหมายจาก นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) พร้อมด้วยนางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการเฉพาะด้านระบบสุขภาพดิจิทัล ครั้งที่ 1/2568 โดยมีนายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วยคณะทำงานจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ สำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่วมกันในการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพ ทั้งในและนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ผ่านระบบ Health Link และหมอพร้อม ขานรับนโยบาย “Quick Win” ของรัฐบาล เพื่อสร้างรากฐานสู่บริการสุขภาพดิจิทัลไร้รอยต่อ นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมุ่งยกระดับคุณภาพและมาตรฐานเทคโนโลยีด้านสุขภาพของประเทศ ภายใต้นโยบาย “หมอไม่ล้า ประชาชนไม่รอ เชื่อมต่อทุกบริการผ่านเทคโนโลยี” ซึ่งประเด็นสำคัญในการพิจารณาครั้งนี้ คือ การเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพข้ามกระทรวง และข้ามหน่วยงาน ถือเป็นก้าวสำคัญในการวางรากฐานธรรมาภิบาลด้านข้อมูลสุขภาพระดับชาติ และสร้างมาตรฐานใหม่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการปฎิรูประบบสุขภาพของประเทศ โดยการดำเนินงานเห็นชอบการเชื่อมโยง 4 มิติ คือ 1. เชื่อมโยงข้อมูลในระดับประเทศผ่านระบบ “หมอพร้อม” 2. เชื่อมโยงข้อมูลในระดับพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ผ่านระบบ Health Link 3. เชื่อมโยงระหว่างกระทรวงสาธารณสุข กับ สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มเข้าถึงบริการสุขภาพดีถ้วนหน้า (Health for all) และ 4. กรอบการจัดทำ พ.ร.บ.สุขภาพดิจิทัล เนื่องจากระบบสุขภาพไทยยังขาดกฎหมายกลางที่กำกับดูแลและเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพอย่างบูรณาการ กฎหมายที่มีอยู่ยังไม่ครอบคลุมการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพดิจิทัลและนวัตกรรมใหม่ นางสาวสุชาดา ซาง แทนทรัพย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และโฆษกกระทรวงดีอี เปิดเผยถึงความร่วมมือระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และกระทรวงสาธารณสุข ว่าเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาระบบข้อมูลสุขภาพของประเทศอย่างยั่งยืน โดยทั้งสองหน่วยงานได้ร่วมกันพัฒนาและผลักดันระบบ บริหารจัดการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพระดับประเทศ (Central Data Exchange Service: CDES) ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการเชื่อมโยงข้อมูลสารสนเทศสุขภาพจากหน่วยงานต่าง ๆ ทั่วประเทศ ระบบดังกล่าวจะทำงานเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์ม Health Link และกระทรวงสาธารณสุข เพื่อสร้าง ศูนย์กลางข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคลของประเทศ ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยสูงและสามารถนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านการดูแลสุขภาพ การบริหารจัดการบริการสาธารณสุข ตลอดจนการกำหนดนโยบายเชิงรุกเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงดีอี ที่ผลักดันการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการบริหารภาครัฐและแก้ไขปัญหาภัยสังคม โดยมุ่งเน้นการสร้างระบบบริการภาครัฐที่มีศักยภาพ โปร่งใส และเชื่อมโยงถึงกันอย่างไร้รอยต่อ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ศ. ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (BDI) กล่าวว่า การเชื่อมระบบ Health Link  และระบบหมอพร้อม จะทำให้ประเทศไทยสามารถเชื่อมข้อมูลสุขภาพได้กว่า 15,000 แห่งทั่วประเทศ โดยทั้งสองระบบสามารถเชื่อมข้อมูลกันด้วยกลไกการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุดตามมาตรฐานสากล โดยระบบ Health Link ซึ่งพัฒนาโดย BDI  ได้ดำเนินงานเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพสถานพยาบาลนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุขในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และ 7 หน่วยนวัตกรรมที่ขึ้นทะเบียนในระบบสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ปัจจุบันเชื่อมโยงไปแล้วกว่า 8,000 แห่งทั่วประเทศ ดังนั้น การเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพทั้งในและนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ถือเป็นการนำร่องการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพเพื่อการรักษาพยาบาลในระดับประเทศ ขานรับนโยบาย Quick Win ของรัฐบาล การประชุมครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่สองกระทรวง ร่วมกันผลักดันแพลตฟอร์มเชื่อมโยงข้อมูลระบบสารสนเทศสุขภาพระดับประเทศ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนให้สามารถเข้ารับการรักษาได้ทุกที่ โดยไม่ต้องพกเอกสาร หรือกลับไปขอประวัติการรักษาจากโรงพยาบาลเดิม ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประเทศ และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ ที่สามารถเข้าถึงข้อมูลประกอบการวินิจฉัยได้อย่างครบถ้วน ลดการตรวจซ้ำซ้อน ป้องกันความผิดพลาดจากการสั่งยาที่ผู้ป่วยมีประวัติแพ้ เพิ่มคุณภาพการรักษา และทำให้ระบบสุขภาพโดยรวมสามารถบริหารจัดการข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่การการนำข้อมูลไปวิเคราะห์เพื่อวางแผนเชิงนโยบาย สร้างรากฐานสู่บริการสุขภาพดิจิทัลไร้รอยต่อที่ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนครอบคลุมทุกมิติ
29 October 2025

บทความ

Data คือ ทรัพยากรแห่งศตวรรษที่ 21 – Soft Infrastructure และ Trusted Data Sharing กลไกสำคัญใน Quick Big Win ของประเทศ
27 ตุลาคม 2568, กรุงเทพฯ – ศ. ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (BDI) ร่วมเสวนาในงาน THAIRATH FORUM 2025: The Next New Economy บนเวที “Deep Tech Economy” ณ โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท โดยกล่าวถึงบทบาทของข้อมูลในฐานะทรัพยากรยุคศตวรรษที่ 21 ที่จะเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่ยุคใหม่ พร้อมชี้ว่า “การสร้าง Soft Infrastructure” คือกุญแจสำคัญสู่การบรรลุเป้าหมาย Quick Big Win ของประเทศ โดยภายในงานได้รับเกียรติจากคุณเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มาร่วมแสดงวิสัยทัศน์ ผอ.BDI กล่าวว่า หากประเทศไทยสามารถบูรณาการข้อมูล (Data Integration) ระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชนได้อย่างเป็นระบบ จะเกิดผลลัพธ์เชิงเศรษฐกิจและสังคมในหลายมิติ เช่น ภาคสาธารณสุข สามารถใช้ Big Data ลดภาระงบประมาณ, ภาคการท่องเที่ยว ใช้ข้อมูลพฤติกรรมนักท่องเที่ยวเพื่อวางนโยบายอย่างแม่นยำ และภาคเกษตร ใช้ข้อมูลพยากรณ์ผลผลิตเพื่อลดความเสี่ยงจากภาวะล้นตลาดหรือขาดแคลนสินค้า ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นได้จากการเชื่อมโยงข้อมูลอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ศ. ดร.ธีรณี อธิบายอีกว่า “Unique Data Asset” คือข้อมูลที่เข้าถึงยากแต่สามารถใช้ประโยชน์ได้จริง โดยประเทศไทยมีจุดแข็งอย่างมากในด้าน “ข้อมูลภาครัฐ” ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลความมั่นคง การท่องเที่ยว หรือ Mobility Data ซึ่งถือเป็นทุนข้อมูลสำคัญที่ต่างประเทศไม่มี แต่ปัจจุบันข้อมูลเหล่านี้ยังไม่ถูกรวมเป็นระบบเดียว และยังเปิดให้ภาคเอกชนเข้าถึงได้ในวงจำกัด ทำให้ไทยยังเสียเปรียบเมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มระดับโลกอย่าง e-commerce หรือ OTA ที่มีข้อมูลผู้บริโภคในเชิงลึก ผอ.BDI ย้ำว่า “Quick Win ที่แท้จริง” จะเกิดขึ้นได้เมื่อรัฐและเอกชนมีการแชร์ข้อมูลร่วมกันอย่างปลอดภัยและโปร่งใส (Trusted Data Sharing) พร้อมผลักดันให้เกิดการลงทุนในระบบ AI for Policy เพื่อใช้ข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบาย ลดการตัดสินใจจากสมมติฐานหรือประสบการณ์ส่วนบุคคล และเปลี่ยนการบริหารภาครัฐให้ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลอย่างแท้จริง หนึ่งในตัวอย่างความสำเร็จที่สะท้อนภาพดังกล่าว คือ แพลตฟอร์ม Trave Link Dashboard ที่บูรณาการข้อมูลตรวจคนเข้าเมืองเข้ากับข้อมูลจากผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ เพื่อนำมาวิเคราะห์เส้นทางและพฤติกรรมนักท่องเที่ยวแบบเรียลไทม์ ช่วยให้หน่วยงานรัฐและผู้ประกอบการสามารถออกแบบแผนการตลาดและกิจกรรมท่องเที่ยวได้อย่างแม่นยำ ตัวอย่างเช่น ห้างสรรพสินค้าในจังหวัดภูเก็ตที่นำข้อมูลจาก Dashboard ไปใช้ปรับสินค้าให้เหมาะกับกลุ่มนักท่องเที่ยวตะวันออกกลาง จนสามารถเพิ่มยอดขายได้อย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้การสร้าง People Infrastructure ที่ต้องเดินควบคู่กับ Demand Pool โดยก่อนจะเร่งผลิตบุคลากรด้านเทคโนโลยี จำเป็นต้องสร้างความต้องการใช้งานจริงในภาคธุรกิจ ทั้ง SMEs และองค์กรขนาดใหญ่ เพื่อให้การพัฒนากำลังคนสอดคล้องกับตลาด พร้อมเสนอให้ภาครัฐใช้มาตรการ Reskill-Incentive ทั้งทางภาษีและนอกภาษี เพื่อกระตุ้นให้ภาคเอกชนนำ AI มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพโดยไม่ลดการจ้างงาน ซึ่งจะทำให้การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจ AI ของไทยเกิดขึ้นอย่างทั่วถึงและยั่งยืน สำหรับเวทีเสวนา “Deep Tech Economy” ภายในงาน THAIRATH FORUM 2025: The Next New Economy ยังได้รับเกียรติจาก คุณจรีพร จารุกรสกุล ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (มหาชน) และ คุณพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป (มหาชน) ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองต่อบทบาทของเทคโนโลยีขั้นลึก (Deep Tech) ในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศเติบโตอย่างมีทิศทาง
27 October 2025

บทความ

BDI ขานรับนโยบาย ‘Quick Win’ เดินเกม Data Economy หนุน SMEs ไทย ใช้ Big Data – AI ผ่านโครงการ “The UP: Unlock Potential with Data” เร่งปลดล็อกข้อจำกัดเดิม ดัน GDP รวม เติบโตต่อเนื่อง
22 ตุลาคม 2568, กรุงเทพฯ – สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI ขานรับนโยบายของรัฐบาลภายใต้แนวทาง “Quick Win” เร่งเดินหน้าเสริมศักยภาพผู้ประกอบการ SMEs ไทย พร้อมแข่งขันในเศรษฐกิจยุคใหม่ ด้วยการผลักดันการใช้ข้อมูล (Data) และ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน เผยความสำเร็จ 2 ปี หนุนผู้ประกอบการ SMEs ไทย แล้วกว่า 50 บริษัท พร้อมมอบประกาศนียบัตรแก่ผู้ประกอบการที่ผ่านการอบรมในโครงการ The UP 2025: Unlock Potential with Data ปีที่ 2 อีกหนึ่งโครงการสำคัญที่มุ่งสร้าง Data-driven Entrepreneur รุ่นใหม่ ดร.สุนทรีย์ ส่งเสริม รองผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ กล่าวว่าในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นภาคการผลิต การส่งออก การท่องเที่ยว และค้าปลีก ต่างได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ตลอดจนพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การนำเทคโนโลยีมาช่วยเสริมความอยู่รอด และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันจึงไม่ใช่ทางเลือกแต่เป็นความจำเป็นโดยเฉพาะสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจ SMEs ของไทย โดยข้อมูลจาก สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ชี้ว่า ภาพรวมธุรกิจ SMEs ในครึ่งปีแรกขยายตัว 3.0% คิดเป็น 34.7% ของ GDP รวม สะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจ SMEs ยังคงเป็นกำลังสำคัญของเศรษฐกิจไทยท่ามกลางความท้าทายที่เพิ่มขึ้นในทุกมิติ BDI ในฐานะหน่วยงานหลักด้านการพัฒนาและบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลของประเทศ จึงเป็นส่วนหนึ่งในการเข้ามามีบทบาทรองรับการขยายตัวของธุรกิจ SMEs ให้สามารถก้าวทันเศรษฐกิจดิจิทัล สอดรับกับแนวนโยบาย ‘Quick  Win’ ของรัฐบาล โดยมุ่งเสริมแกร่ง เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน และสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าและบริการด้วยพลังของ Big Data และ AI ให้กับผู้ประกอบการไทย โดยตลอดระยะเวลา 2 ปี ได้ผลักดันโครงการสำคัญอย่าง The UP: Unlock Potential with Data  ปัจจุบันมีผู้ประกอบการ SMEs กว่า 50 บริษัท ที่ผ่านโปรแกรมให้คำปรึกษาและสามารถนำองค์ความรู้ที่ได้รับไปต่อยอด พัฒนา และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจของตนเองได้อย่างเป็นรูปธรรม “การขับเคลื่อนดังกล่าวจะเป็นกลไกหนึ่งในการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากของประเทศให้เติบโตบนฐานข้อมูลคุณภาพและนวัตกรรมดิจิทัล ช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs ไทย สามารถลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และต่อยอดธุรกิจสู่ตลาดใหม่ทั้งในและต่างประเทศได้อย่างยั่งยืน พร้อมสร้างคลื่นผู้ประกอบการยุคใหม่ที่ใช้ Big Data และ AI นำไปสู่การเพิ่มมูลค่า GDP จากภาค SMEs ให้เติบโตกว่าเดิม มีศักยภาพแข่งขันในระดับโลกมากขึ้น พร้อมเข้าสู่ยุค Data Economy อย่างเต็มรูปแบบ ผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัลและยุทธศาสตร์การส่งออกของไทยให้เติบโตตามเป้าหมายของประเทศในระยะยาว” ล่าสุด BDI ได้จัดพิธีมอบประกาศนียบัตรให้แก่ผู้ประกอบการที่ผ่านการอบรมในโครงการ ‘The UP 2025: Unlock Potential with Data รุ่นที่ 2’ ที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้รับคำปรึกษาแบบตัวต่อตัว (One-to-One Mentoring) รวมกว่า 400 ชั่วโมง จากผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูล พร้อมเวิร์กชอปเชิงลึกด้านการวิเคราะห์ การสร้างคุณค่าทางธุรกิจจากข้อมูล และการพัฒนา Data Blueprint สำหรับแต่ละกิจการ เพื่อให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง ในปี 2568 มีผู้เข้าร่วมกว่า 33 บริษัท ซึ่งผู้ประกอบการทุกบริษัทได้รับ Roadmap สำหรับวางแผนพัฒนาองค์กรในระยะต่อไป หลายบริษัทสามารถลดต้นทุนและสต็อกสินค้า เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน (Productivity Gain) และลดความผิดพลาดจากกระบวนการทำงานซ้ำซ้อน ขณะเดียวกันผู้ประกอบการบางรายสามารถสร้างรายได้ใหม่จากตลาด B2C สามารถขยายฐานลูกค้าใหม่ได้ในระหว่างการเข้าร่วมโครงการ และอีกหลายบริษัทได้พัฒนาระบบข้อมูลเชิงโครงสร้าง เช่น Dashboard, ERP และ CRM ที่เชื่อมโยงข้อมูลทุกฝ่ายเข้าด้วยกัน ภายในงานยังมีการมอบรางวัลให้แก่ผู้ประกอบการที่มีผลงานโดดเด่น 5 ด้าน ประกอบด้วย ด้าน Excellent Transformation Award ได้แก่ บริษัท แบงคอก สวิม ทีม จำกัด, ด้าน Endeavor Award ได้แก่ บริษัท ซ้งพาณิชย์ จำกัด, ด้าน Growth Momentum Award ได้แก่ บริษัท ไร้ท์ รีแอคติเวชั่น จำกัด (มหาชน), ด้าน Collaborative Spirit Award ได้แก่ บริษัท ไทย-เยอรมัน เดคคอร์ จำกัด และด้าน Dedicated Team Award ได้แก่ บริษัท ลิงก์ เทคโนโลยี คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและความเป็นไปได้ของการใช้ข้อมูลเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับผู้ประกอบการไทย “BDI ยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าขยายผลโครงการ The UP: Unlock Potential with Data สู่ปีที่ 3 ด้วยเป้าหมายในการต่อยอดความสำเร็จเหล่านี้ให้เข้าถึง SMEs ในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ เพื่อสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจที่แข็งแกร่งบนพื้นฐานของข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ (Data & AI Ecosystem) ที่ช่วยให้ SMEs ใช้ข้อมูลตัดสินใจได้อย่างแม่นยำและแข่งขันได้ในยุคดิจิทัล และผลักดันให้ SMEs ไทยก้าวสู่การเป็นผู้เล่นสำคัญในเวทีเศรษฐกิจโลกได้อย่างภาคภูมิ” ดร.สุนทรีย์ กล่าวสรุป
22 October 2025

บทความ

BDI ร่วมประชุมคณะอนุกรรมการวิชาการและระบบข้อมูลสุขภาพ ครั้งที่ 1/2568 หารือแนวทางขับเคลื่อนสุขภาพดิจิทัลแห่งชาติ
15 ตุลาคม 2568, นนทบุรี – สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI เข้าร่วมประชุมคณะอนุกรรมการวิชาการและระบบข้อมูลสุขภาพ ครั้งที่ 1/2568 ณ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี โดยมีนายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบนโยบาย การประชุมครั้งนี้ มีการรายงานความคืบหน้าของการดำเนินงานด้านระบบสุขภาพดิจิทัลในประเด็นสำคัญต่าง ๆ โดย ศ. ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (BDI) ในฐานะหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาระบบข้อมูลสุขภาพดิจิทัลของประเทศ ได้แสดงความพร้อมในการสนับสนุนการบูรณาการและเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน ทั้งภายในและภายนอกกระทรวงสาธารณสุข นอกจากนี้ยังมีการหารือการจัดทำบันทึกความร่วมมือ (MOU) และ Data Sharing Agreement (DSA) ระหว่างกระทรวงสาธารณสุขกับหน่วยงานภายนอก เพื่อสนับสนุนการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างระบบ Health Link กับระบบของกระทรวงสาธารณสุข ในช่วงท้ายของการประชุม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงาน เพื่อมุ่งสู่การพัฒนา Virtual Cloud ด้านสุขภาพระดับประเทศ รองรับการขับเคลื่อนนโยบายดิจิทัลของรัฐบาล และเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาบริการสุขภาพ จากการเชื่อมโยงข้อมูลประชาชนอย่างครบวงจร การประชุมครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของการสร้างระบบนิเวศด้านสุขภาพดิจิทัลที่ยั่งยืนและปลอดภัย เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนและการบริหารจัดการระบบสุขภาพของประเทศในอนาคต
15 October 2025

บทความ

BDI ผู้แทน รมว.ดีอี ประกาศแผนรัฐบาลไทยเดินหน้า National AI ครอบคลุมทุกมิติ พร้อมก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางด้าน AI ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
17 กันยายน 2568, สาธารณรัฐประชาชนจีน – สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI โดย ศ. ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ ผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เข้าร่วมเสวนาในงาน The RCEP High-Level Dialogue on Economic and Trade Cooperation Banquet Hall ในหัวข้อ “Harnessing digital economy and AI innovations for enhancing CAFTA 3.0 and RCEP economic and Trade Collaboration” ณ หนานหนิง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 300 คน ศ. ดร.ธีรณี กล่าวว่า รัฐบาลไทยประกาศเดินหน้า โครงการแห่งชาติด้านปัญญาประดิษฐ์ (National AI Program) เพื่อผลักดันการพัฒนาประเทศด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย เน้นการยกระดับ “ความพร้อม” และ “การประยุกต์ใช้” AI อย่างเป็นรูปธรรมในทุกมิติ โดยตั้งเป้าฝึกอบรมประชาชนกว่า 10 ล้านคนให้มีความรู้ด้าน AI และสร้างบุคลากรผู้เชี่ยวชาญไม่น้อยกว่า 50,000 คน เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI แบบโอเพ่นซอร์ส การจัดตั้ง National Data Bank เพื่อรวมฐานข้อมูลภาครัฐ และการสร้าง Regulatory Sandbox สำหรับทดลองใช้กฎระเบียบและมาตรฐานก่อนนำ AI มาใช้จริง ซึ่งจะช่วยรองรับการลงทุนจากทั่วโลก และสนับสนุนการเติบโตของผู้ประกอบการไทยทั้ง SME และ Startup ในขณะเดียวกัน รัฐบาลยังเร่งผลักดันการนำ AI ไปประยุกต์ใช้ในภาคส่วนที่มีผลต่อเศรษฐกิจและสังคมโดยตรง เช่น การแพทย์ การศึกษา การเกษตร การเงิน การท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมการผลิต เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน และสร้างความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน โดยมีกลไกสำคัญ คือ การจัดตั้ง National AI Consortium เพื่อเป็นศูนย์กลางความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา และภาคประชาสังคม ควบคู่ไปกับการจัดตั้ง AI Centers of Excellence ใน 10 ด้านสำคัญ ได้แก่ การศึกษา อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ การเกษตร การผลิต สุขภาพและการแพทย์ การท่องเที่ยว แบบจำลองภาษาไทย (LLM) ศูนย์ประมวลผล AI ของรัฐบาล ศูนย์ทดสอบมาตรฐาน AI และ ความมั่นคงและความปลอดภัย เพื่อพัฒนานวัตกรรมและระบบนิเวศที่แข็งแกร่ง เป้าหมายสูงสุด คือ การทำให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางด้าน AI ที่มีระบบนิเวศสมบูรณ์ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
17 September 2025
PDPA Icon

We use cookies to optimize your browsing experience and improve our website’s performance. Learn more at our Privacy Policy and adjust your cookie settings at Settings

Privacy Preferences

You can choose your cookie settings by turning on/off each type of cookie as needed, except for necessary cookies.

Accept all
Manage Consent Preferences
  • Strictly Necessary Cookies
    Always Active

    This type of cookie is essential for providing services on the website of the Personal Data Protection Committee Office, allowing you to access various parts of the site. It also helps remember information you have previously provided through the website. Disabling this type of cookie will result in your inability to use key services of the Personal Data Protection Committee Office that require cookies to function.
    Cookies Details

  • Performance Cookies

    This type of cookie helps the Big Data Institute (Public Organization) understand user interactions with its website services, including which pages or areas of the site are most popular, as well as analyze other related data. The Big Data Institute (Public Organization) also uses this information to improve website performance and gain a better understanding of user behavior. Although the data collected by these cookies is non-identifiable and used solely for statistical analysis, disabling them will prevent the Big Data Institute (Public Organization) from knowing the number of website visitors and from evaluating the quality of its services.

  • Functional Cookies

    This type of cookie enables the Big Data Institute (Public Organization)’s website to remember the choices you have made and deliver enhanced features and content tailored to your usage. For example, it can remember your username or changes you have made to font sizes or other customizable settings on the page. Disabling these cookies may result in the website not functioning properly.

  • Targeting Cookies

    "This type of cookie helps the Big Data Institute (Public Organization) understand user interactions with its website services, including which pages or areas of the site are most popular, as well as analyze other related data. The Big Data Institute (Public Organization) also uses this information to improve website performance and gain a better understanding of user behavior. Although the data collected by these cookies is non-identifiable and used solely for statistical analysis, disabling them will prevent the Big Data Institute (Public Organization) from knowing the number of website visitors and from evaluating the quality of its services.

Save settings