DataDrivenNation

DataDrivenNation

ข่าวและบทความที่เกี่ยวข้อง

Related news and articles

PostType Filter En

บทความ

BDI x กอช. ยกระดับการบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ พัฒนาศักยภาพด้าน Big Data และเทคโนโลยีดิจิทัล
18 ธันวาคม 2568, กรุงเทพฯ – สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI ร่วมกับกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือ โครงการพัฒนาศักยภาพด้านการจัดการข้อมูล จากข้อมูลขนาดใหญ่ เพื่อพัฒนาการใช้ประโยชน์จากข้อมูล ณ กองทุนการออมแห่งชาติ อาคาร เอส เอ็ม ทาวเวอร์ ดร.สุนทรีย์ ส่งเสริม รองผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ กล่าวว่า ในฐานะหน่วยงานที่ขับเคลื่อนการใช้ข้อมูลเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม BDI ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนหน่วยงานภาครัฐในการวางรากฐานการจัดการข้อมูลให้มีความเป็นระบบและได้มาตรฐาน ความร่วมมือกับกองทุนการออมแห่งชาติในครั้งนี้จึงมุ่งเน้นตั้งแต่กระบวนการรวบรวมและจัดเก็บข้อมูล การจัดทำบัญชีข้อมูล (Data Catalog) การกำหนดกรอบธรรมาภิบาลข้อมูล (Data Governance) ไปจนถึงการประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ เพื่อให้ข้อมูลสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และเกิดความเชื่อมั่นในการใช้งาน พร้อมกันนี้ ยังมุ่งส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านข้อมูล ให้สามารถเข้าใจและดำเนินงานด้านการจัดการข้อมูลได้ครบทุกมิติ ตั้งแต่การจัดการข้อมูลตามมาตรฐานสากล ไปจนถึงการนำข้อมูลไปใช้สนับสนุนการวิเคราะห์และการตัดสินใจเชิงนโยบาย ซึ่งจะช่วยให้หน่วยงานภาครัฐสามารถปรับการทำงานไปสู่การบริหารจัดการบนฐานข้อมูลได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยเปิดโอกาสให้ข้อมูลภาครัฐถูกนำมาเชื่อมโยงและต่อยอดในภาพรวมระดับประเทศ ส่งเสริมการใช้ข้อมูลให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม สนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบายที่มีความแม่นยำ และยกระดับการให้บริการภาครัฐตอบโจทย์ประชาชนมากยิ่งขึ้น ด้านนางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) กล่าวว่า กอช. เป็นกองทุนบำนาญภาคประชาชน สำหรับกลุ่มแรงงานนอกระบบ มีจุดมุ่งหมายสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม สร้างหลักประกันที่มั่นคงให้คนไทยที่มีอาชีพอิสระ อายุระหว่าง 15 – 60 ปี เริ่มออมได้ตั้งแต่ 50 บาท สูงสุด 30,000 บาทต่อปี พร้อมรับเงินสมทบจากรัฐสูงสุดถึง 100% แต่ไม่เกิน 1,800 บาทต่อปี ตามช่วงอายุ จึงทำให้ กอช. ต้องสะสมฐานข้อมูลสมาชิก ข้อมูลการดำเนินงาน รวมถึงเตรียมความพร้อมในการสะสมฐานข้อมูลการดำเนินงานของ สลาก กอช. ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ความร่วมมือในครั้งนี้ จะสามารถนำ Big Data มาเป็นขุมทรัพย์ทางปัญญา เพื่อช่วยตัดสินใจในการบริหารจัดการข้อมูล (Data-Driven Decision Making) รวมถึงเห็นภาพรวมทิศทางการตลาดของกองทุนการออมแห่งชาติได้อย่างแม่นยำในเรื่องการพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดสำหรับ กอช. และสลาก กอช. ให้ตรงความต้องการของผู้ใช้บริการ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมวินัยการออมของประชาชน เพิ่มโอกาสให้แรงงานนอกระบบมีเงินบำนาญ และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการกองทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ กอช. และ BDI จะร่วมกันพัฒนาองค์ความรู้และส่งเสริมกระบวนการจัดการข้อมูลหน่วยงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ช่วยสร้างธรรมาภิบาลข้อมูล โดยทั้งสองหน่วยงานได้บันทึกความเข้าใจความร่วมมือใน 4 ด้านหลัก ได้แก่ 1) การส่งเสริมและพัฒนาองค์ความรู้ด้านการจัดการข้อมูล 2) การพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ ความเข้าใจการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับข้อมูล 3) การส่งเสริมกระบวนการจัดการข้อมูลตามมาตรฐานสากล และ 4) การสนับสนุนข้อมูลเพื่อประโยชน์ส่วนรวมในการขับเคลื่อนประเทศ
18 December 2025

บทความ

BDI ร่วมกับ ดีป้า และ TCT ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวไทย ด้วยข้อมูลขนาดใหญ่ ปัญญาประดิษฐ์ และดิจิทัล
17 ธันวาคม 2568, กรุงเทพฯ – BDI จับมือ ดีป้า และ TCT ประกาศความร่วมมือการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวไทยด้วยข้อมูลขนาดใหญ่ ปัญญาประดิษฐ์ และดิจิทัล พร้อมวางแผนเดินสายถ่ายทอดองค์ความรู้และกลไกส่งเสริมใน 9 พื้นที่ เชื่อความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยวางรากฐานให้ทุกภาคส่วนสามารถใช้ข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์เป็นเครื่องมือยกระดับการทำงาน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวของไทยให้เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า และ สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (TCT) ประกาศความร่วมมือการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวไทยด้วยข้อมูลขนาดใหญ่ ปัญญาประดิษฐ์ และดิจิทัล (Shaping Thai Tourism by Big Data, AI & Digital Transformation) โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมงานโดยพร้อมเพรียง ณ อาคาร ดีป้า (สำนักงานใหญ่) ซอยลาดพร้าว 10 เขตจตุจักร นางสาววิชุพรรณ ภูเก้าล้วน ศรีสัญญา รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดท่องเที่ยวโลกมีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ สังคม พฤติกรรมนักท่องเที่ยว รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ทำให้การบริหารจัดการและการกำหนดนโยบายจำเป็นต้องอาศัยข้อมูลที่ถูกต้อง ครอบคลุม ทันสมัย เพื่อประกอบการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเหตุนี้ ข้อมูลขนาดใหญ่และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการยกระดับการวิเคราะห์เชิงลึก ทั้งด้านพฤติกรรมนักท่องเที่ยว แนวโน้มการเดินทาง ความต้องการของตลาด และการคาดการณ์เชิงสถิติ ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้ทั้งในเชิงนโยบายภาครัฐ และเชิงกลยุทธ์ของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ทั้งนี้เพื่อตอบรับกับความต้องการในการยกระดับศักยภาพ BDI และ ดีป้า จึงเข้ามาสนับสนุนด้านเทคโนโลยีและเครื่องมือดิจิทัลที่สำคัญของความร่วมมือการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวไทยด้วยข้อมูลขนาดใหญ่ ปัญญาประดิษฐ์ และดิจิทัล ด้าน ศ. ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (BDI) กล่าวว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ขณะที่ตลาดท่องเที่ยวโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้การบริหารจัดการและการกำหนดทิศทางเชิงนโยบายต้องอาศัยข้อมูลที่ถูกต้องและทันสมัย ซึ่งข้อมูลขนาดใหญ่และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มีบทบาทสำคัญที่จะช่วยให้หน่วยงานและผู้ประกอบการเข้าใจพฤติกรรมนักท่องเที่ยว แนวโน้มการเดินทาง และความต้องการของตลาดได้อย่างลึกซึ้ง อีกทั้งนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ เพิ่มความแม่นยำในการวางแผน และยกระดับการตัดสินใจให้สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ BDI ได้พัฒนาแพลตฟอร์มอัจฉริยะด้านการท่องเที่ยวแห่งชาติ (TRAVEL LINK) เพื่อเป็นเครื่องมือกลางในการรวบรวม เชื่อมโยง และบริหารจัดการข้อมูลการท่องเที่ยวจากหลากหลายแหล่ง อีกทั้งเปิดโอกาสให้หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ สามารถนำไปต่อยอดด้วยการวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจได้อย่างเป็นรูปธรรมในระดับพื้นที่และระดับประเทศ โดย BDI มองว่า การนำข้อมูลและแพลตฟอร์มไปใช้ให้เกิดผลลัพธ์อย่างแท้จริง และสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานเชิงนโยบายและเชิงธุรกิจ จำเป็นต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านการท่องเที่ยว จึงเป็นที่มาของโครงการอบรมภายใต้ความร่วมมือกับ TCT และ ดีป้า เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ และทักษะการใช้ข้อมูลขนาดใหญ่และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ให้กับบุคลากรภาครัฐและภาคเอกชน ขณะที่ ดร.ปรีสาร รักวาทิน รักษาการรองผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าวว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยวมีความสำคัญอย่างยิ่งในบริบทของเศรษฐกิจไทย โดยมีสัดส่วนต่อ GDP ที่สูงและมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจฐานรากอย่างมหาศาล ด้วยเหตุนี้ ดีป้า จึงได้ร่วมกับ TCT และ BDI สนับสนุนภาคการท่องเที่ยว โดยส่งเสริมให้เกิดการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์มาประยุกต์ใช้ ซึ่ง ดีป้า ได้ทำงานภายใต้กลไก AI Transformation ที่ครอบคลุมทั้งการเตรียมพร้อมกำลังคนดิจิทัล ควบคู่กับการยกระดับ Digital & AI Solution ซึ่งเปรียบเสมือนโครงสร้างพื้นฐานสำคัญแห่งโลกอนาคต นอกจากนี้ ดีป้า ยังได้ดำเนินโครงการ AI Transformation โดยส่งเสริมให้เกิดการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลที่ขึ้นทะเบียนบนบัญชีบริการดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม และภาคเกษตรกรรม ผ่านการสนับสนุนใน 2 รูปแบบ ได้แก่ การยกระดับธุรกิจด้วยดิจิทัลตามมาตรการ d-transform และการส่งเสริมการเริ่มต้นใช้งานดิจิทัลผ่านมาตรการ d-voucher ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://aitransform.depa.or.th ทั้งนี้ สามหน่วยงานพร้อมเดินหน้าถ่ายทอดองค์ความรู้และกลไกส่งเสริมการนำเทคโนโลยีดิจิทัล ข้อมูลขนาดใหญ่ และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาประยุกต์ใช้ พร้อมตั้งเป้าขยายการดำเนินงานให้ครอบคลุม 22 จังหวัดท่องเที่ยวหลัก เพื่อยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในระดับสากล โดยในระยะเริ่มต้นจะจัดกิจกรรมโรดโชว์เพื่ออบรม ถ่ายทอดองค์ความรู้ใน 9 พื้นที่นำร่อง ได้แก่ จังหวัดเชียงราย อุดรธานี ขอนแก่น บุรีรัมย์ ระยอง พระนครศรีอยุธยา กระบี่ พื้นที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์และเพชรบุรี และพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว และผู้ที่สนใจใช้ประโยชน์จากข้อมูลด้านการท่องเที่ยว รวมไม่น้อยกว่า 1,000 คน ทุกหน่วยงานเชื่อว่า ความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นส่วนสำคัญในการวางรากฐานให้ทุกภาคส่วนสามารถใช้ข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์เป็นเครื่องมือยกระดับการทำงาน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และขับเคลื่อนการท่องเที่ยวไทยให้เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว
17 December 2025

บทความ

อบจ.ชลบุรี – สปสช. – BDI จับมือปั้น Health Data Hub มาตรฐานสูง ปลอดภัยยกระดับสาธารณสุขชลบุรีสู่อนาคต!
16 ธันวาคม 2568, จังหวัดชลบุรี – องค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เรื่อง “การแลกเปลี่ยนและใช้ประโยชน์ข้อมูลสุขภาพประชาชนในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (UC)” เพื่อยกระดับระบบสาธารณสุขของจังหวัดให้โปร่งใส ปลอดภัย และพร้อมรองรับการบริหารจัดการด้วยข้อมูลในยุคดิจิทัล ภายใต้กรอบกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ณ องค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี นายแพทย์สินชัย ต่อวัฒนกิจกุล รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า สปสช.ให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบข้อมูลภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อให้ข้อมูลสามารถสนับสนุนการบริหารสิทธิและการให้บริการประชาชนได้อย่างถูกต้อง โปร่งใส และตรวจสอบได้ ความร่วมมือกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี และ BDI ในครั้งนี้ เป็นการวางกลไกการใช้ข้อมูลร่วมกันในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ให้สามารถนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ด้านการบริหารจัดการสิทธิ การติดตามบริการ และการวิเคราะห์เชิงระบบ โดยยังคงให้ความสำคัญกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด “ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยเสริมความพร้อมของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในการรองรับการบริหารจัดการบริการปฐมภูมิในบริบทใหม่ และเป็นฐานสำคัญสำหรับการพัฒนานโยบายด้านบริการสุขภาพในอนาคต” นายแพทย์สินชัย กล่าวเพิ่มเติม ทั้งนี้ ความร่วมมือในการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพของจังหวัดชลบุรีมีเป้าหมายสำคัญ 4 ประการ ได้แก่ 1. การบูรณาการและคืนข้อมูลสุขภาพให้กับพื้นที่ โดยเฉพาะหน่วยบริการปฐมภูมิ เพื่อให้สามารถดูแลประชาชนได้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น รองรับบริบทของจังหวัดที่มีทั้งประชากรในพื้นที่และประชากรแฝงจำนวนมาก  2. การใช้ข้อมูลระดับประเทศของ สปสช. เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการ 3. การวางแผนบริการ 4. การจัดสรรงบประมาณขององค์การบริหารส่วนจังหวัดอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังมุ่งผลักดันให้จังหวัดชลบุรีเป็นพื้นที่ต้นแบบด้านการเบิกจ่ายค่าบริการสาธารณสุขแบบเบิกจ่ายตรง ลดภาระการสำรองจ่ายของประชาชน และเพิ่มความคล่องตัวด้านการเงินของหน่วยบริการ ควบคู่กับการเตรียมความพร้อมด้านข้อมูลเพื่อรองรับสถานการณ์วิกฤต ทั้งภัยพิบัติและการระบาดของโรค โดยเฉพาะการดูแลกลุ่มเปราะบางอย่างทันท่วงที รองเลขาธิการ สปสช. กล่าวย้ำว่า ความร่วมมือครั้งนี้มีเป้าหมายสูงสุดเพื่อให้การใช้ข้อมูลสุขภาพเกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง และเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับการดูแลสุขภาพของประชาชนในระดับท้องถิ่นอย่างยั่งยืน ศ. ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ กล่าวว่า BDI มีบทบาทในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลสุขภาพและระบบเชื่อมโยงข้อมูลภาครัฐ เพื่อให้ข้อมูลสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงในการรักษา การบริหารจัดการ และการวิเคราะห์เชิงนโยบาย โดยแพลตฟอร์ม Health Link ถูกออกแบบมาเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพที่จำเป็น เช่น ประวัติการรักษา การแพ้ยา และโรคประจำตัว ระหว่างหน่วยบริการอย่างปลอดภัยและมีมาตรฐานเดียวกัน ศ. ดร.ธีรณี กล่าวเพิ่มเติมว่า ความร่วมมือกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และองค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรีในครั้งนี้ ถือเป็นการขยายการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพสู่ระบบปฐมภูมิขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างเป็นรูปธรรม โดยจังหวัดชลบุรีเป็นพื้นที่นำร่องแห่งแรกที่สามารถเชื่อมโยงหน่วยบริการในสังกัด อบจ. ครบทั้ง 118 แห่ง เพื่อรองรับการใช้งานทั้งในภาวะปกติและสถานการณ์ฉุกเฉิน “BDI ให้ความสำคัญกับการออกแบบระบบที่สอดคล้องกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) โดยกำหนดบทบาทด้านการควบคุมและประมวลผลข้อมูลอย่างชัดเจน เพื่อให้การใช้ข้อมูลเกิดขึ้นอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกภาคส่วน ความร่วมมือครั้งนี้จึงเป็นต้นแบบของการพัฒนาระบบข้อมูลสุขภาพระดับท้องถิ่น ที่สามารถขยายผลไปสู่พื้นที่อื่นทั่วประเทศในอนาคต” ผอ.BDI กล่าว ปัจจุบัน ระบบ Health Link สามารถเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพที่จำเป็นกว่า 12 ประเภท มีมาตรการรักษาความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล และเชื่อมโยงหน่วยบริการทั่วประเทศแล้วกว่า 8,600 แห่ง โดยในพื้นที่จังหวัดชลบุรี มีโรงพยาบาลที่เชื่อมโยงแล้ว 7 แห่ง และหน่วยบริการนวัตกรรมกว่า 100 แห่ง ส่งผลให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี สามารถเข้าถึงประวัติการรักษาของผู้ป่วยจากเครือข่ายที่เชื่อมโยงได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ BDI ยังสนับสนุนการออกแบบโครงสร้างพื้นฐาน การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล การพัฒนากลไกกำกับดูแลข้อมูล และการยกระดับศักยภาพบุคลากร เพื่อให้การใช้ข้อมูลสุขภาพตอบโจทย์ทั้งด้านการบริหารจัดการ การให้บริการประชาชน และการวางแผนด้านงบประมาณและกำลังคน อันเป็นเป้าหมายสำคัญของความร่วมมือในครั้งนี้ ด้านนายวิทยา คุณปลื้ม นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี กล่าวว่า จังหวัดชลบุรีให้ความสำคัญกับการยกระดับระบบสาธารณสุขด้วยการใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีเป็นฐาน โดยเฉพาะภารกิจด้านการดูแลสุขภาพประชาชน ซึ่งเป็นบทบาทสำคัญขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ภายหลังการถ่ายโอนภารกิจด้านสาธารณสุขปฐมภูมิ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลทั้ง 118 แห่งมาอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ อบจ.ชลบุรี นายก อบจ.ชลบุรี กล่าวเพิ่มเติมว่า จังหวัดชลบุรีเป็นศูนย์กลางด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว มีประชากรแฝงจำนวนมาก ทำให้การบริหารจัดการข้อมูลสุขภาพที่ถูกต้อง ทันสมัย และเชื่อมโยงกันได้ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการให้บริการประชาชนอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ “ความร่วมมือกับ สปสช. และ BDI ในครั้งนี้ จะช่วยให้หน่วยบริการในสังกัด อบจ.ชลบุรี ทั้ง 118 แห่ง สามารถเข้าถึงข้อมูลสุขภาพที่จำเป็นภายใต้กรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และนำไปใช้ในการดูแลรักษา วางแผน และพัฒนาระบบสาธารณสุขของจังหวัดได้อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมยืนยันความมุ่งมั่นของ อบจ.ชลบุรีในการผลักดันความร่วมมือครั้งนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนในระยะยาว” นายวิทยา กล่าวสรุป ในขณะเดียวกัน ทั้งสามหน่วยงานยังร่วมกันพัฒนาระบบฐานข้อมูลสุขภาพกลางของจังหวัด (Health Data Hub) ที่รองรับข้อมูลประชาชนผู้ใช้งานกว่า 2,500,000 ราย ให้เป็นระบบที่มีมาตรฐานสูง ครบถ้วน ปลอดภัย และรองรับการวิเคราะห์เชิงนโยบาย รวมถึงสนับสนุนการใช้ข้อมูลผ่านระบบ Health Link เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างสถานพยาบาล จำนวน 118 แห่ง ช่วยให้แพทย์เข้าถึงข้อมูลสำคัญของผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็ว ลดความล่าช้าในการรักษา และเพิ่มความต่อเนื่องของการดูแลสุขภาพ การพัฒนาระบบ Health Data Hub และการเชื่อมโยงข้อมูลผ่าน Health Link ช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากรสาธารณสุขในพื้นที่ ให้สามารถใช้ข้อมูลในการวิเคราะห์ วางแผน และบริหารจัดการทรัพยากรได้อย่างเหมาะสม ควบคู่กับการพัฒนาศักยภาพบุคลากรและการใช้ข้อมูลสุขภาพอย่างถูกต้อง ปลอดภัย และสอดคล้องกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อระบบบริการสุขภาพของประชาชนในจังหวัดชลบุรี MOU ฉบับนี้กำหนดกรอบความร่วมมือ บทบาท และหน้าที่ของแต่ละหน่วยงานไว้อย่างชัดเจน รวมถึงมาตรการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลตามกฎหมาย เพื่อให้การใช้ข้อมูลเกิดขึ้นอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ และสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน การลงนามในวันนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของจังหวัดชลบุรีในการพัฒนาระบบสาธารณสุขดิจิทัลอย่างครบวงจร ช่วยให้ข้อมูลสุขภาพถูกนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างปลอดภัยและคุ้มค่า สนับสนุนการวางแผน บริหารจัดการ และพัฒนาคุณภาพบริการสาธารณสุขของจังหวัดได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว และวางรากฐานสู่อนาคตของระบบสุขภาพดิจิทัลของจังหวัดชลบุรีอย่างแท้จริง
16 December 2025

บทความ

BDI เปิดบ้านต้อนรับการเยี่ยมชมศึกษาดูงานคณะของกระทรวงการสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งสหสาธารณรัฐแทนซาเนีย
15 ธันวาคม 2568, กรุงเทพฯ – สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI โดย ดร.สุนทรีย์ ส่งเสริม รองผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ เปิดบ้านต้อนรับคณะจากกระทรวงการสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งสหสาธารณรัฐแทนซาเนีย นำโดย Mr. Nkundwe Moses Mwasaga Director General of Information and Communication Technology Commission (ICTC) พร้อมด้วย Mr. Florean Rwehumbiza Laurean กงสุลกิตติมศักดิ์สหสาธารณรัฐแทนซาเนียประจำประเทศไทย ในโอกาสเข้าเยี่ยมชมศึกษาดูงานด้าน Big Data Analytics, Data Lakes และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ณ ห้องประชุม อาคารสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ ซอยลาดพร้าว 12 การเยี่ยมชมศึกษาดูงานในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างศักยภาพด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ผ่านการเรียนรู้แนวทางและเครื่องมือในการวัดผลกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล รวมถึงการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลด้านเศรษฐกิจดิจิทัลตามกรอบ Digital Economy Satellite Accounts (DESA) ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เพื่อนำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาระบบการวัดผลเศรษฐกิจดิจิทัลของสหสาธารณรัฐแทนซาเนีย พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของประเทศไทย ในโอกาสนี้ นางสาวนภัสสร พิทักษ์กชกร ผู้จัดการโครงการและนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล ได้บรรยายเกี่ยวกับแพลตฟอร์มข้อมูลอัจฉริยะด้านการท่องเที่ยวแห่งชาติ TRAVEL LINK ซึ่งเชื่อมโยงข้อมูลจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน และให้บริการข้อมูลในรูปแบบแดชบอร์ดและอินโฟกราฟิก เพื่อสนับสนุนการเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกด้านการท่องเที่ยว อาทิ ข้อมูลจำนวนนักท่องเที่ยว การกระจายตัวของนักท่องเที่ยวจากด่านขาเข้า รวมถึงการวิเคราะห์การเคลื่อนที่จากสัญญาณโทรศัพท์ในพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งสามารถนำไปใช้ประกอบการวิเคราะห์เชิงนโยบาย การวางแผนกลยุทธ์ และการตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ โดยเปิดให้ใช้งานฟรีผ่านเว็บไซต์ www.travellink.go.th ขณะเดียวกัน ดร.พีรดล สามะศิริ ผู้จัดการโครงการและนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลอาวุโส และ นายชยสิน แซ่เตีย วิศวกรข้อมูลอาวุโส ได้ร่วมบรรยายเกี่ยวกับแพลตฟอร์มการเชื่อมโยงและวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ Data Integration and Intelligence Platform (D2) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มกลางสำหรับการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และพันธมิตร เพื่อสนับสนุนการกำหนดนโยบายเชิงมุ่งเป้า การบริหารจัดการ และการขับเคลื่อนนวัตกรรมด้วยข้อมูลและ AI โดยมีแผนพัฒนาเป็นลำดับ ตั้งแต่การออกแบบมาตรฐานและโครงสร้างพื้นฐานในปี 2568 การเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในปี 2569 และการขยายบริการด้าน AI ในปี 2570 นอกจากนี้ นายเบญจ์ รักตันติโชค ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและนวัตกรรม ได้นำเสนอแนวคิดการประยุกต์ใช้ AI-assisted process ในงานสนับสนุนด้านทรัพยากรบุคคลและการเงิน เพื่อช่วยลดงานซ้ำซ้อน ลดความผิดพลาดจากงานเอกสาร และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน โดย AI สามารถช่วยคัดกรองและจับคู่ผู้สมัครงานให้ตรงกับตำแหน่ง รวมถึงช่วยตรวจสอบเอกสารด้านการเงินได้อย่างรวดเร็วและรอบคอบมากยิ่งขึ้น การเยี่ยมชมศึกษาดูงานในครั้งนี้นับเป็นอีกก้าวสำคัญของการสร้างความร่วมมือและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้าน Big Data และ AI ระหว่างประเทศไทยและสหสาธารณรัฐแทนซาเนีย เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลและการพัฒนานโยบายบนฐานข้อมูลอย่างยั่งยืนในอนาคต
15 December 2025

บทความ

เปิดเบื้องหลังแดชบอร์ด Rice Supply พยากรณ์ผลผลิตข้าวล่วงหน้า แก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำ
ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน จะเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยวข้าวนาปี ซึ่งจะมีผลผลิตข้าวปริมาณมากออกสู่ตลาดพร้อมกัน และอาจส่งผลต่อเสถียรภาพราคาข้าว นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือระหว่าง สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ กับ สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) โดย ดร.อิสระพงศ์ เอกสินชล ผู้จัดการโครงการและนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลอาวุโส BDI ได้รับมอบหมายภารกิจในการวิเคราะห์ว่า พื้นที่อำเภอไหน จังหวัดใดมีแนวโน้มที่ผลผลิตข้าวจะออกมาล้นตลาด เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถเตรียมมาตรการรองรับได้อย่างเหมาะสม การลงรายละเอียดในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้สามารถออกนโยบายช่วยเหลือชาวนาได้อย่างแม่นยำ จึงเป็นเป้าหมายสำคัญของภารกิจนี้ โดยภายใน 2 วันหลังจากได้รับโจทย์ ดร.อิสระพงศ์ ได้เขียนโปรแกรมประมวลผลข้อมูล และพัฒนาแดชบอร์ดแสดงผลคาดการณ์ผลผลิตข้าวจากภาพถ่ายดาวเทียมของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อแสดงสถานการณ์ผลผลิตข้าวรายพื้นที่ในแต่ละช่วงเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ปริมาณผลผลิตเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอในเชิงนโยบาย ทำอย่างไรถึงจะจำแนกชนิดพันธุ์ข้าวที่เพาะปลูก เช่น ข้าวหอมมะลิ ข้าวขาว และข้าวเหนียว ในแต่ละพื้นที่ได้ ? เพราะมีความสำคัญต่อการบริหารจัดการการตลาด ทีมงานจึงมีการบูรณาการข้อมูลการขึ้นทะเบียนปลูกข้าวของเกษตรกร จากกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มาวิเคราะห์ร่วมกันกับข้อมูลของ GISTDA ทำให้สามารถจำแนกชนิดพันธุ์ข้าวในแต่ละพื้นที่ในแต่ละช่วงเวลาได้อย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ กำลังการผลิตของโรงสีในพื้นที่ ซึ่งบ่งชี้ถึงความสามารถในการรองรับปริมาณผลผลิตข้าวในแต่ละพื้นที่ที่แตกต่างกัน ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการประเมินสถานการณ์ปริมาณข้าวล้นตลาดด้วยเช่นกัน จึงได้มีการนำข้อมูลนี้จากกรมการค้าภายใน มาวิเคราะห์เพื่อประเมินศักยภาพการรองรับผลผลิต และความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะผลผลิตล้นตลาด ในแต่ละพื้นที่ได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้ คือ “ระบบคาดการณ์ผลผลิตข้าวนาปีล่วงหน้า” ที่เกิดขึ้นจากการบูรณาการข้อมูลจากหลายหน่วยงานภาครัฐเข้าด้วยกัน ซึ่งสามารถส่งต่อให้สำนักงานพาณิชย์ในแต่ละจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ใช้เป็นข้อมูลประกอบการติดตามสถานการณ์ และพิจารณามาตรการด้านการตลาดข้าวได้อย่างตรงจุด เกิดประสิทธิผลเชิงนโยบาย สอดคล้องกับสถานการณ์จริงตามบริบทของแต่ละพื้นที่ โดยในระยะต่อไป มีแผนต่อยอดการพัฒนาระบบคาดการณ์ผลผลิตไปสู่พืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง และอ้อย เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการสินค้าเกษตรในภาพรวม เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร และรายได้ของพี่น้องเกษตรกรให้มีความมั่นคง เบื้องหลังแดชบอร์ด จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของเทคโนโลยี แต่คือความเชี่ยวชาญในการทำงานของบุคลากรเฉพาะด้าน ที่มาร่วมมือกันและนำข้อมูลจากหลายแหล่งมาประมวลผลอย่างเป็นระบบ เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบายบนฐานข้อมูลที่รอบด้าน “นี่คือ อีกหนึ่งภารกิจของ BDI ในการสนับสนุนการใช้ข้อมูลเพื่อการกำหนดนโยบาย ภายใต้แนวคิด Data-Driven Nation”
15 December 2025

บทความ

Health Link คว้ารางวัล Public Sector Day Thailand Innovation Award 2025 ตอกย้ำความโดดเด่นด้านนวัตกรรม และศักยภาพในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาพัฒนาเพื่อยระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน
6 พฤศจิกายน 2568, กรุงเทพฯ – ศ. ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (BDI) พร้อมด้วย นพ.ธนกฤต จินตวร First Executive Vice President, พญ.ปฐมพร ศิรประภาศิริ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านบูรณาการข้อมูล นางสาวน้ำฝน ประโพธิ์ศรี ผู้อำนวยการโครงการ Health Link และทีมเจ้าหน้าที่โครงการ ร่วมขึ้นรับรางวัล Public Sector Day Thailand Innovation Award 2025 ซึ่งจัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่าง Amazon Web Services (AWS) และ GovInsider ณ โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก รางวัลนี้เป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นของ BDI ในการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อยกระดับบริการภาครัฐ และสร้างระบบนิเวศข้อมูล (Data Ecosystem) ที่โปร่งใส ปลอดภัย และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน โดยโครงการ “Health Link” ถือเป็นนวัตกรรมสำคัญของประเทศไทยที่ทำให้การเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพระหว่างสถานพยาบาลทั่วประเทศเกิดขึ้นได้จริง ช่วยให้แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์สามารถเข้าถึงข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยได้อย่างปลอดภัย ถูกต้อง และรวดเร็ว ลดความซ้ำซ้อนของการตรวจรักษา และเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลสุขภาพของประชาชนในทุกพื้นที่ โครงการ Health Link ยังเป็นตัวอย่างของการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Cloud และ AI ในการบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อน Digital Thailand ให้ก้าวสู่ประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven Nation) อย่างแท้จริง นอกจากนี้ ผู้อำนวยการ BDI ยังได้ร่วมบรรยายพิเศษในหัวข้อ “Thailand Public Sector Spotlight: Transforming AI for Citizen Experience – BDI’s HealthLink and National AI Strategy” เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ วิสัยทัศน์ และแนวทางการใช้ AI เพื่อยกระดับประสบการณ์ของประชาชน รวมถึงบทบาทของ BDI ในฐานะหน่วยงานภาครัฐที่มุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมสู่อนาคตของบริการภาครัฐดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับงาน Public Sector Day เป็นเวทีสำคัญที่จัดขึ้นเพื่อผู้นำในภาครัฐ ภาคการศึกษา และวงการสาธารณสุขในภูมิภาคอาเซียน โดยในประเทศไทยมีผู้บริหารภาครัฐ ผู้กำหนดนโยบาย และผู้นำด้านเทคโนโลยีกว่า 500 คน เข้าร่วมแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ แบ่งปันความสำเร็จ และเปิดมุมมองใหม่ในการพลิกโฉมการให้บริการประชาชนด้วย Cloud และ AI
6 November 2025

บทความ

ผอ.BDI แนะ 3 รูปแบบ AI พลิกโฉมอุตสาหกรรมประกันภัยไทย – เน้นใช้ข้อมูลอย่างรับผิดชอบในยุคปัญญาประดิษฐ์
29 ตุลาคม 2568, กรุงเทพฯ – ศ. ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (BDI) ร่วมบรรยายในงาน “InsurTech Summit 2025” ภายใต้หัวข้อ “Insurance in the Age of AI” พร้อมเผย 3 รูปแบบ AI พลิกโฉมอุตสาหกรรม และความท้าทายด้านธรรมาภิบาลข้อมูล ยืนยัน “AI จะไม่มาแทนที่คน แต่คนที่ใช้ AI ไม่เป็นต่างหากที่อาจถูกแทนที่” ผอ.BDI อธิบายว่า ปัญญาประดิษฐ์ (AI) สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทสำคัญ ได้แก่ 1. Traditional AI – หรือที่รู้จักกันในชื่อ Machine Learning และ Data Science ใช้ข้อมูลในรูปแบบตารางเพื่อวิเคราะห์และทำนายแนวโน้ม เช่น การวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าหรือความเสี่ยง 2. Generative AI – ระบบที่สามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ได้ เช่น การเขียนข้อความ วาดภาพ หรือสรุปเนื้อหาอัตโนมัติ ตัวอย่างที่คุ้นเคยคือ ChatGPT และ 3. Agentic AI – การรวมบอทหลายตัวทำงานร่วมกันในลักษณะ Workflow อัตโนมัติ เช่น ระบบ Call Center หรือกระบวนการเบิกจ่ายในหน่วยงานภาครัฐ AI กำลังเข้ามาช่วยยกระดับอุตสาหกรรมประกันภัยไทยอย่างไร ผอ.BDI มองว่า AI กำลังเข้ามาช่วยให้ธุรกิจประกันภัยทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น ระบบแนะนำประกันเฉพาะบุคคล (Personalized Insurance): วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าเพื่อเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตรงใจ ระบบตรวจจับความผิดปกติ (Anomaly Detection): ใช้ตรวจสอบการเบิกจ่ายผิดปกติ หรือพฤติกรรมเสี่ยงของผู้ขับขี่ และการประเมินความเสี่ยงเชิงสุขภาพและอาคาร: ใช้ข้อมูลจากเซ็นเซอร์เพื่อลดอุบัติเหตุ เช่น ตรวจจับอาการหลับใน หรือแรงดันท่อรั่วในอาคาร และเมื่อ AI ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย คำถามสำคัญจึงอยู่ที่ “ความรับผิดชอบ” และ “ความน่าเชื่อถือของข้อมูล” โดย ผอ.BDI ย้ำถึง 5 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1. อคติของข้อมูล (Bias) – หากข้อมูลที่ใช้ฝึก AI ลำเอียง ผลลัพธ์ก็จะลำเอียงตามไปด้วย 2. อคติทางวัฒนธรรม (Cultural Bias) – ภาษาไทยมีเพียง 0.4% ในชุดข้อมูลโลก ทำให้ AI ต่างชาติอาจไม่เข้าใจบริบทไทย 3. ข้อมูลเท็จจาก Generative AI (Hallucination) – จำเป็นต้องมีระบบตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ 4. กฎหมายและความรับผิดชอบ (Compliance & Liability) – ต้องคำนึงถึง PDPA และลิขสิทธิ์ของผลงานที่ AI สร้างขึ้น และ 5. การปรับตัวของคน – การเรียนรู้การใช้ AI อย่างมีสติเป็นทักษะจำเป็นในยุคดิจิทัล นอกจากนี้เจ้าหน้าที่โครงการ Health Link ได้ร่วมจัดแสดงนิทรรศการภายในงาน InsurTech Summit 2025 ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ภายใต้แนวคิด “Co-Creating the Future of Insurance, Powering the Community” ณ ศูนย์ ซี อาเซียน รัชดา (C asean Ratchada) มุ่งสร้างสรรค์อนาคตประกันภัย จุดพลังสังคมให้เติบโตและยั่งยืน โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากวงการบริษัทประกันภัย บริษัทนายหน้าประกันภัย และบริษัทเทคโนโลยี (Tech Startup) ชั้นนำจากนานาประเทศเข้าร่วมกว่า 300 คน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนอนาคตของอุตสาหกรรมประกันภัยไทยสู่การเป็น Insurance Community ระดับสากล
29 October 2025

บทความ

ดีอี - สธ. เห็นชอบเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพผ่านระบบ Health Link - หมอพร้อม วางรากฐานสู่บริการสุขภาพดิจิทัลไร้รอยต่อ
29 ตุลาคม 2568, นนทบุรี – นางสาวสุชาดา ซาง แทนทรัพย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และโฆษกกระทรวงดีอี ได้รับมอบหมายจาก นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) พร้อมด้วยนางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการเฉพาะด้านระบบสุขภาพดิจิทัล ครั้งที่ 1/2568 โดยมีนายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วยคณะทำงานจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ สำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่วมกันในการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพ ทั้งในและนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ผ่านระบบ Health Link และหมอพร้อม ขานรับนโยบาย “Quick Win” ของรัฐบาล เพื่อสร้างรากฐานสู่บริการสุขภาพดิจิทัลไร้รอยต่อ นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมุ่งยกระดับคุณภาพและมาตรฐานเทคโนโลยีด้านสุขภาพของประเทศ ภายใต้นโยบาย “หมอไม่ล้า ประชาชนไม่รอ เชื่อมต่อทุกบริการผ่านเทคโนโลยี” ซึ่งประเด็นสำคัญในการพิจารณาครั้งนี้ คือ การเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพข้ามกระทรวง และข้ามหน่วยงาน ถือเป็นก้าวสำคัญในการวางรากฐานธรรมาภิบาลด้านข้อมูลสุขภาพระดับชาติ และสร้างมาตรฐานใหม่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการปฎิรูประบบสุขภาพของประเทศ โดยการดำเนินงานเห็นชอบการเชื่อมโยง 4 มิติ คือ 1. เชื่อมโยงข้อมูลในระดับประเทศผ่านระบบ “หมอพร้อม” 2. เชื่อมโยงข้อมูลในระดับพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ผ่านระบบ Health Link 3. เชื่อมโยงระหว่างกระทรวงสาธารณสุข กับ สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มเข้าถึงบริการสุขภาพดีถ้วนหน้า (Health for all) และ 4. กรอบการจัดทำ พ.ร.บ.สุขภาพดิจิทัล เนื่องจากระบบสุขภาพไทยยังขาดกฎหมายกลางที่กำกับดูแลและเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพอย่างบูรณาการ กฎหมายที่มีอยู่ยังไม่ครอบคลุมการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพดิจิทัลและนวัตกรรมใหม่ นางสาวสุชาดา ซาง แทนทรัพย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และโฆษกกระทรวงดีอี เปิดเผยถึงความร่วมมือระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และกระทรวงสาธารณสุข ว่าเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาระบบข้อมูลสุขภาพของประเทศอย่างยั่งยืน โดยทั้งสองหน่วยงานได้ร่วมกันพัฒนาและผลักดันระบบ บริหารจัดการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพระดับประเทศ (Central Data Exchange Service: CDES) ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการเชื่อมโยงข้อมูลสารสนเทศสุขภาพจากหน่วยงานต่าง ๆ ทั่วประเทศ ระบบดังกล่าวจะทำงานเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์ม Health Link และกระทรวงสาธารณสุข เพื่อสร้าง ศูนย์กลางข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคลของประเทศ ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยสูงและสามารถนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านการดูแลสุขภาพ การบริหารจัดการบริการสาธารณสุข ตลอดจนการกำหนดนโยบายเชิงรุกเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงดีอี ที่ผลักดันการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการบริหารภาครัฐและแก้ไขปัญหาภัยสังคม โดยมุ่งเน้นการสร้างระบบบริการภาครัฐที่มีศักยภาพ โปร่งใส และเชื่อมโยงถึงกันอย่างไร้รอยต่อ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ศ. ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (BDI) กล่าวว่า การเชื่อมระบบ Health Link  และระบบหมอพร้อม จะทำให้ประเทศไทยสามารถเชื่อมข้อมูลสุขภาพได้กว่า 15,000 แห่งทั่วประเทศ โดยทั้งสองระบบสามารถเชื่อมข้อมูลกันด้วยกลไกการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุดตามมาตรฐานสากล โดยระบบ Health Link ซึ่งพัฒนาโดย BDI  ได้ดำเนินงานเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพสถานพยาบาลนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุขในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และ 7 หน่วยนวัตกรรมที่ขึ้นทะเบียนในระบบสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ปัจจุบันเชื่อมโยงไปแล้วกว่า 8,000 แห่งทั่วประเทศ ดังนั้น การเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพทั้งในและนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ถือเป็นการนำร่องการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพเพื่อการรักษาพยาบาลในระดับประเทศ ขานรับนโยบาย Quick Win ของรัฐบาล การประชุมครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่สองกระทรวง ร่วมกันผลักดันแพลตฟอร์มเชื่อมโยงข้อมูลระบบสารสนเทศสุขภาพระดับประเทศ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนให้สามารถเข้ารับการรักษาได้ทุกที่ โดยไม่ต้องพกเอกสาร หรือกลับไปขอประวัติการรักษาจากโรงพยาบาลเดิม ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประเทศ และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ ที่สามารถเข้าถึงข้อมูลประกอบการวินิจฉัยได้อย่างครบถ้วน ลดการตรวจซ้ำซ้อน ป้องกันความผิดพลาดจากการสั่งยาที่ผู้ป่วยมีประวัติแพ้ เพิ่มคุณภาพการรักษา และทำให้ระบบสุขภาพโดยรวมสามารถบริหารจัดการข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่การการนำข้อมูลไปวิเคราะห์เพื่อวางแผนเชิงนโยบาย สร้างรากฐานสู่บริการสุขภาพดิจิทัลไร้รอยต่อที่ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนครอบคลุมทุกมิติ
29 October 2025

บทความ

Data คือ ทรัพยากรแห่งศตวรรษที่ 21 – Soft Infrastructure และ Trusted Data Sharing กลไกสำคัญใน Quick Big Win ของประเทศ
27 ตุลาคม 2568, กรุงเทพฯ – ศ. ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (BDI) ร่วมเสวนาในงาน THAIRATH FORUM 2025: The Next New Economy บนเวที “Deep Tech Economy” ณ โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท โดยกล่าวถึงบทบาทของข้อมูลในฐานะทรัพยากรยุคศตวรรษที่ 21 ที่จะเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่ยุคใหม่ พร้อมชี้ว่า “การสร้าง Soft Infrastructure” คือกุญแจสำคัญสู่การบรรลุเป้าหมาย Quick Big Win ของประเทศ โดยภายในงานได้รับเกียรติจากคุณเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มาร่วมแสดงวิสัยทัศน์ ผอ.BDI กล่าวว่า หากประเทศไทยสามารถบูรณาการข้อมูล (Data Integration) ระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชนได้อย่างเป็นระบบ จะเกิดผลลัพธ์เชิงเศรษฐกิจและสังคมในหลายมิติ เช่น ภาคสาธารณสุข สามารถใช้ Big Data ลดภาระงบประมาณ, ภาคการท่องเที่ยว ใช้ข้อมูลพฤติกรรมนักท่องเที่ยวเพื่อวางนโยบายอย่างแม่นยำ และภาคเกษตร ใช้ข้อมูลพยากรณ์ผลผลิตเพื่อลดความเสี่ยงจากภาวะล้นตลาดหรือขาดแคลนสินค้า ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นได้จากการเชื่อมโยงข้อมูลอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ศ. ดร.ธีรณี อธิบายอีกว่า “Unique Data Asset” คือข้อมูลที่เข้าถึงยากแต่สามารถใช้ประโยชน์ได้จริง โดยประเทศไทยมีจุดแข็งอย่างมากในด้าน “ข้อมูลภาครัฐ” ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลความมั่นคง การท่องเที่ยว หรือ Mobility Data ซึ่งถือเป็นทุนข้อมูลสำคัญที่ต่างประเทศไม่มี แต่ปัจจุบันข้อมูลเหล่านี้ยังไม่ถูกรวมเป็นระบบเดียว และยังเปิดให้ภาคเอกชนเข้าถึงได้ในวงจำกัด ทำให้ไทยยังเสียเปรียบเมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มระดับโลกอย่าง e-commerce หรือ OTA ที่มีข้อมูลผู้บริโภคในเชิงลึก ผอ.BDI ย้ำว่า “Quick Win ที่แท้จริง” จะเกิดขึ้นได้เมื่อรัฐและเอกชนมีการแชร์ข้อมูลร่วมกันอย่างปลอดภัยและโปร่งใส (Trusted Data Sharing) พร้อมผลักดันให้เกิดการลงทุนในระบบ AI for Policy เพื่อใช้ข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบาย ลดการตัดสินใจจากสมมติฐานหรือประสบการณ์ส่วนบุคคล และเปลี่ยนการบริหารภาครัฐให้ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลอย่างแท้จริง หนึ่งในตัวอย่างความสำเร็จที่สะท้อนภาพดังกล่าว คือ แพลตฟอร์ม Trave Link Dashboard ที่บูรณาการข้อมูลตรวจคนเข้าเมืองเข้ากับข้อมูลจากผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ เพื่อนำมาวิเคราะห์เส้นทางและพฤติกรรมนักท่องเที่ยวแบบเรียลไทม์ ช่วยให้หน่วยงานรัฐและผู้ประกอบการสามารถออกแบบแผนการตลาดและกิจกรรมท่องเที่ยวได้อย่างแม่นยำ ตัวอย่างเช่น ห้างสรรพสินค้าในจังหวัดภูเก็ตที่นำข้อมูลจาก Dashboard ไปใช้ปรับสินค้าให้เหมาะกับกลุ่มนักท่องเที่ยวตะวันออกกลาง จนสามารถเพิ่มยอดขายได้อย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้การสร้าง People Infrastructure ที่ต้องเดินควบคู่กับ Demand Pool โดยก่อนจะเร่งผลิตบุคลากรด้านเทคโนโลยี จำเป็นต้องสร้างความต้องการใช้งานจริงในภาคธุรกิจ ทั้ง SMEs และองค์กรขนาดใหญ่ เพื่อให้การพัฒนากำลังคนสอดคล้องกับตลาด พร้อมเสนอให้ภาครัฐใช้มาตรการ Reskill-Incentive ทั้งทางภาษีและนอกภาษี เพื่อกระตุ้นให้ภาคเอกชนนำ AI มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพโดยไม่ลดการจ้างงาน ซึ่งจะทำให้การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจ AI ของไทยเกิดขึ้นอย่างทั่วถึงและยั่งยืน สำหรับเวทีเสวนา “Deep Tech Economy” ภายในงาน THAIRATH FORUM 2025: The Next New Economy ยังได้รับเกียรติจาก คุณจรีพร จารุกรสกุล ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (มหาชน) และ คุณพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป (มหาชน) ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองต่อบทบาทของเทคโนโลยีขั้นลึก (Deep Tech) ในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศเติบโตอย่างมีทิศทาง
27 October 2025
PDPA Icon

We use cookies to optimize your browsing experience and improve our website’s performance. Learn more at our Privacy Policy and adjust your cookie settings at Settings

Privacy Preferences

You can choose your cookie settings by turning on/off each type of cookie as needed, except for necessary cookies.

Accept all
Manage Consent Preferences
  • Strictly Necessary Cookies
    Always Active

    This type of cookie is essential for providing services on the website of the Personal Data Protection Committee Office, allowing you to access various parts of the site. It also helps remember information you have previously provided through the website. Disabling this type of cookie will result in your inability to use key services of the Personal Data Protection Committee Office that require cookies to function.
    Cookies Details

  • Performance Cookies

    This type of cookie helps the Big Data Institute (Public Organization) understand user interactions with its website services, including which pages or areas of the site are most popular, as well as analyze other related data. The Big Data Institute (Public Organization) also uses this information to improve website performance and gain a better understanding of user behavior. Although the data collected by these cookies is non-identifiable and used solely for statistical analysis, disabling them will prevent the Big Data Institute (Public Organization) from knowing the number of website visitors and from evaluating the quality of its services.

  • Functional Cookies

    This type of cookie enables the Big Data Institute (Public Organization)’s website to remember the choices you have made and deliver enhanced features and content tailored to your usage. For example, it can remember your username or changes you have made to font sizes or other customizable settings on the page. Disabling these cookies may result in the website not functioning properly.

  • Targeting Cookies

    "This type of cookie helps the Big Data Institute (Public Organization) understand user interactions with its website services, including which pages or areas of the site are most popular, as well as analyze other related data. The Big Data Institute (Public Organization) also uses this information to improve website performance and gain a better understanding of user behavior. Although the data collected by these cookies is non-identifiable and used solely for statistical analysis, disabling them will prevent the Big Data Institute (Public Organization) from knowing the number of website visitors and from evaluating the quality of its services.

Save settings