Digital Transformation

Digital Transformation

ข่าวและบทความที่เกี่ยวข้อง

All Digital Transformation

PostType Filter En

บทความ

10 ทิศทางสำคัญที่ผู้บริหารควรเรียนรู้ในปี 2025 เพื่อความยั่งยืนของธุรกิจ
? เตรียมพร้อมสู่ปี 2025: 10 กลยุทธ์ที่ผู้บริหารต้องเรียนรู้เพื่อความยั่งยืนในธุรกิจ  ในปี 2025 โลกธุรกิจจะเผชิญกับความท้าทายใหม่ที่ผู้บริหารจำเป็นต้องเตรียมพร้อมและปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและสังคมที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ความยั่งยืน (Sustainability) จะยังคงเป็นหัวใจหลักที่กำหนดทิศทางการเติบโตขององค์กร และความสามารถในการปรับตัวนี้จะเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จในระยะยาว บทความนี้จะนำเสนอ 10 เรื่องที่ผู้บริหารควรเรียนรู้เพื่อความสำเร็จและความยั่งยืนในอนาคต  1. การเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยี AI เชิงยั่งยืน ?  ในยุคที่ AI และ Big Data กำลังเป็นเครื่องมือสำคัญในการพลิกโฉมธุรกิจ ผู้บริหารต้องเข้าใจการนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ในองค์กรอย่างมีจริยธรรมและยั่งยืน หลักสูตร LEAD รุ่นที่ 2 ช่วยให้ผู้บริหารเข้าใจถึงการประยุกต์ใช้ AI ที่ไม่เพียงแค่เพิ่มประสิทธิภาพ แต่ยังสร้างความไว้วางใจในลูกค้าและสังคม  2. การจัดการความยั่งยืนในห่วงโซ่อุปทาน (Sustainable Supply Chain) ?  ผู้บริหารควรมีความเข้าใจในกระบวนการของ ห่วงโซ่อุปทาน ที่ยั่งยืน โดยสามารถนำ Big Data มาใช้ในการตรวจสอบแหล่งวัตถุดิบที่มีความรับผิดชอบ และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การลดการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิต รวมถึงการเลือกใช้ซัพพลายเออร์ที่มีจรรยาบรรณและความรับผิดชอบต่อสังคม  3. การเสริมสร้างความสามารถในการปรับตัว (Adaptability Skills) ?  การเปลี่ยนแปลงในสภาพตลาดและเทคโนโลยีที่รวดเร็วจำเป็นต้องมีการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง ผู้บริหารที่เข้าร่วมหลักสูตร LEAD จะได้รับทักษะในการใช้ Big Data และ AI เพื่อช่วยในการวิเคราะห์แนวโน้มตลาดและทำนายความเปลี่ยนแปลงในอนาคต ทำให้สามารถปรับกลยุทธ์และตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว  4. การนำ ESG (Environment, Social, Governance) มาใช้ในกลยุทธ์องค์กร ?  หลักสูตร LEAD รุ่นที่ 2 มุ่งเน้นให้ผู้บริหารเข้าใจการบูรณาการแนวคิด ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล) เข้ากับกลยุทธ์การบริหาร โดยใช้ AI และ Big Data ในการวัดผลกระทบจากกิจกรรมองค์กรที่มีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ทำให้สามารถพัฒนากลยุทธ์ที่ยั่งยืนและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและลูกค้า  5. ความปลอดภัยทางไซเบอร์และการคุ้มครองข้อมูล (Cybersecurity) ?  ด้วยการใช้ AI และ Big Data ในการบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ ความปลอดภัยทางไซเบอร์จึงเป็นสิ่งสำคัญ หลักสูตร LEAD รุ่นที่ 2 จะช่วยให้ผู้บริหารเข้าใจการปกป้องข้อมูลและความปลอดภัยทางไซเบอร์ โดยการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการป้องกันและตอบสนองต่อการโจมตีทางไซเบอร์  6. ความเป็นผู้นำในยุคการทำงานแบบไฮบริด (Leadership in a Hybrid Workplace) ?‍?  การทำงานในรูปแบบ hybrid ที่ผสมผสานการทำงานทั้งออฟไลน์และออนไลน์เป็นแนวโน้มใหม่ในอนาคต ผู้นำต้องเข้าใจการจัดการทีมอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้ Big Data ในการประเมินการทำงานและสร้างความร่วมมือระหว่างทีมงานจากหลากหลายสถานที่  7. การสร้างความโปร่งใสในการทำงานและธุรกิจ (Transparency and Accountability)  ความโปร่งใสและการมีความรับผิดชอบเป็นพื้นฐานของการทำธุรกิจที่ยั่งยืน Big Data ช่วยให้ผู้บริหารสามารถตรวจสอบและเปิดเผยข้อมูลสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจในองค์กร โดยสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่เน้นความโปร่งใสและมีความรับผิดชอบ  8. การใช้พลังงานทางเลือกและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก⚡  การนำ Big Data และ AI มาใช้ในการวิเคราะห์และพัฒนาแนวทางในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นสิ่งที่ผู้บริหารต้องคำนึงถึงในการขับเคลื่อนองค์กรไปสู่ความยั่งยืน หลักสูตร LEAD จะช่วยให้ผู้บริหารสามารถใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานทางเลือกและลดการปล่อยคาร์บอน  9. การพัฒนาและฝึกอบรมบุคลากรอย่างต่อเนื่อง (Continuous Learning and Development) ?  ในการขับเคลื่อนองค์กรอย่างยั่งยืน ผู้บริหารต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาและฝึกอบรมบุคลากร โดยการใช้ AI เพื่อวิเคราะห์และออกแบบโปรแกรมฝึกอบรมที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดและเทคโนโลยี  10. การสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง (Continuous Innovation) ?  การสร้างนวัตกรรมที่ต่อเนื่องเป็นกุญแจสำคัญในการเติบโตในยุคที่การแข่งขันสูง AI และ Big Data สามารถช่วยในการค้นหาความท้าทายใหม่ ๆ และนำเสนอนวัตกรรมที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาดได้อย่างทันเวลา  ? ปี 2025 จะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวสำหรับผู้บริหารที่ต้องการนำองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน ความเข้าใจใน 10 เรื่องสำคัญจะช่วยให้ผู้บริหารมีวิสัยทัศน์ที่ก้าวไกลและปรับกลยุทธ์ได้ทันสมัย ตั้งแต่การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI การจัดการห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน ไปจนถึงการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดรับการทำงานแบบไฮบริด การเพิ่มทักษะการนำองค์กรในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วจะเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ผู้บริหารสามารถก้าวนำและรับมือกับความท้าทายในโลกธุรกิจที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน  เพิ่มโอกาสในการพัฒนาทักษะเพื่อก้าวนำในยุคที่การเปลี่ยนแปลงรวดเร็วนั้นอยู่ที่นี่แล้ว อย่าพลาด! สมัครเรียนหลักสูตร LEAD: Big Data and AI for Sustainable Future (LEAD รุ่นที่ 2) เพื่อเตรียมพร้อมสู่การเป็นผู้นำยุคใหม่ที่พร้อมเผชิญความท้าทายและสร้างความสำเร็จอย่างยั่งยืน  ? รีบจองที่นั่ง Early Bird ได้แล้ววันนี้   ราคา 189,900 บาท จากราคาปกติ 209,900 บาท (รวมศึกษาดูงานทั้งในประเทศ และต่างประเทศ)  ?ศึกษารายละเอียดหลักสูตรเพิ่มเติม: https://bdi.or.th/executive-course/  ?ท่านสามารถแจ้งความประสงค์เพื่อลงทะเบียนหลักสูตรได้ที่: https://forms.gle/QFW229rG7cbjx53R6  ? ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Email: businesspromotion@bdi.or.th หรือ โทร: 02 480 8833 ต่อ 9552 และ 9579  บทความโดย เบญญาภา ราชแก้ว
15 November 2024

บทความ

Digital Transformation สิ่งที่ทุกองค์กรต้องทำเพื่อความอยู่รอด
Digital Transformation เป็นคำที่องค์กรต่าง ๆ ทั่วโลกและในประเทศไทยเริ่มรับรู้และตระหนักอย่างจริงจังในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ตั้งแต่รายงานโดย McKinsey ในปี ค.ศ. 2017 ว่ามีองค์กรเพียง 40% ในภาคธุรกิจโดยรวมที่เข้าสู่ความเป็นดิจิทัลอย่างเต็มตัว มาจนถึงทุกวันนี้ในยุคหลังโควิด-19 (post-pandemic/new normal era) เราแทบจะนึกไม่ออกแล้วว่า มีองค์กรใดบ้างที่ยังไม่ได้เข้าสู่ความเป็นดิจิทัลทางใดทางหนึ่งแล้วยังอยู่รอดได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าทุกองค์กรจะสร้างความเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลได้อย่างประสบความสำเร็จ บางองค์กรโอบรับเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาพร้อมกันหลายชิ้น แต่กลับเป็นเทคโนโลยีที่ไม่เชื่อมโยงกัน บางองค์กรพยายามบังคับให้คนในองค์กรต้องปรับวิถีการทำงานผ่านเทคโนโลยีชิ้นใหม่ แต่ทำได้ไม่นาน พนักงานก็กลับมาทำงานตามวิถีเดิม ทำให้องค์กรเสียทรัพยากรและค่าใช้จ่ายสูญเปล่ามหาศาล หลาย ๆ ท่านคงจะสงสัยกันแล้วว่า ในบทความนี้ ผมจะพาท่านผู้อ่านมาลองศึกษาและตอบคำถามเหล่านี้กันครับ วิวัตนาการ 3 ขั้นตอน สู่ Digital Transformation ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจร่วมกันก่อนว่า กว่าองค์กรหนึ่งจะทำ Digital Transformation ได้นั้นจริง ๆ แล้วจะต้องผ่านวิวัฒนาการทางเทคโนโลยีสามขั้นตอน คือ Digitization, Digitalization, และตามท้ายด้วย Digital Transformation Digitization คือ การแปลงข้อมูลแบบแอนะล็อก (analog) เป็นข้อมูลแบบดิจิทัล (digital) ตัวอย่างคลาสสิกคือการสแกนเอกสารกระดาษเป็นเอกสารดิจิทัล เก็บในรูปแบบไฟล์ในระบบคอมพิวเตอร์ ลดความจำเป็นในการใช้ตู้เก็บเอกสาร ลดความเสี่ยงจากความเสียหายของข้อมูลในกรณีที่เอกสารเริ่มเก่า ขาด หรือเปียกน้ำ อีกตัวอย่างหนึ่งคือการใช้ word processor อย่าง Microsoft Word ในการสร้างเอกสารดิจิทัล แทนการสร้างเอกสารด้วยเครื่องพิมพ์ดีด Digitalization เป็นขั้นกว่าของ Digitization ซึ่งหมายถึงการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อทำสิ่งที่องค์กรทำได้อยู่แล้ว แต่ทำได้ดี เร็ว หรือประหยัดทรัพยากรได้มากกว่าเดิม ยกตัวอย่างเช่น การค้นหาข้อมูลจากเอกสาร ถ้าเป็นเอกสารกระดาษ องค์กรต้องใช้คนเปิดตู้เอกสารแล้วไล่ดูทีละแฟ้มจนเจอข้อมูลที่ต้องการ แต่การนำเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างคอมพิวเตอร์มาใช้นั้น คอมพิวเตอร์จะสามารถค้นหาเอกสารที่ต้องการได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว ผ่านการพิมพ์คำค้นหาไม่กี่คำ โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีการจัดเรียง (indexing and sorting) ไฟล์ดิจิทัลบนเครื่องคอมพิวเตอร์ และที่สำคัญคือ ประหยัดทรัพยากรมนุษย์อีกด้วย จะสังเกตได้ว่า Digitization และ Digitalization ไม่ได้ทำให้ธุรกิจหรือองค์กรสามารถทำอะไรใหม่ ๆ ได้มากกว่าเดิม เอกสารข้อมูลก็ยังคงมีอยู่ การค้นหาเอกสารก็ยังทำได้เหมือนเดิม แต่สามารถทำได้ดีขึ้น รวดเร็วขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น Digital Transformation คือการเปลี่ยนแปลงขั้นสูงทางดิจิทัลสำหรับองค์กร ซึ่งเป็นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาสร้างนวัตกรรมใหม่ เปลี่ยนวิถีการทำธุรกิจหรือธุรกรรมไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง และสร้างคุณค่า (value) ให้กับลูกค้าหรือผู้ใช้งานในทุกโอกาส (นิยามโดย Salesforce) โดยเริ่มจากการตั้งคำถามว่า “เราจะพลิกโฉมธุรกิจและกระบวนงานของเราได้อย่างไร ให้องค์กรก้าวไปสู่ขั้นกว่าของการตัดสินใจที่ดีขึ้น ประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น และประสบการณ์ของลูกค้าและผู้ใช้งานที่ตรงใจมากขึ้น?” Digital Transformation เป็นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาสร้างนวัตกรรมใหม่ เปลี่ยนวิถีการทำธุรกิจหรือธุรกรรมไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง และสร้างคุณค่า (value) ให้กับลูกค้าหรือผู้ใช้งานในทุกโอกาส หากเรามองย้อนกลับไปที่ตัวอย่างของการจัดเก็บเอกสาร หากเราผนวก word processor ผนวกกับเทคโนโลยีคลาวด์ และ smartphones ทำให้พนักงานภายในองค์กรสามารถ (1) แก้ไขเอกสารได้ทันที, (2) เข้าถึงเอกสารจากที่ไหนก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปออฟฟิศ, (3) สามารถใช้งาน collaboration feature เพื่อจัดทำเอกสารร่วมกับเพื่อนร่วมงานได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นขีดความสามารถ (capabilities) ใหม่ ๆ ที่องค์กรไม่เคยทำได้มาก่อนด้วยเทคโนโลยีเดิม ๆ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพภายในองค์กรได้อย่างไม่เคยมีมาก่อน อีกตัวอย่างที่คลาสสิกมาก คือ กรณีศึกษาของ Netflix ที่ผันตนเองจากเดิมที่เคยเป็นผู้ให้บริการเช่าวิดีโอ มาเป็นผู้ให้บริการความบันเทิงผ่านช่องทาง streaming ซึ่งสอดคล้องกับเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงที่คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ในวงการมากขึ้น ซึ่ง Digital Transformation ของ Netflix ทำให้เกิดประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมกับผู้ใช้งานที่เทคโนโลยีเดิมไม่สามารถทำได้มาก่อน นั่นคือ ระบบการแนะนำสิ่งที่ตรงใจผู้ใช้งาน หรือ recommender system ซึ่งเกิดขึ้นได้จากการวิเคราะห์ข้อมูลด้านความชอบและพฤติกรรมการดูหนังของผู้ใช้งานที่ถูกจัดเก็บในรูปแบบดิจิทัล (อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับนวัตกรรมดิจิทัลของ Netflix ได้ที่นี่) และประสบการณ์ที่ดีกว่าอย่างไม่เคยมีมาก่อนนี้ ทำให้ Netflix เข้ามาสร้างความสั่นสะเทือน (disruption) ในธุรกิจสื่อและความบันเทิงที่มีอยู่เดิม และแน่นอนว่า องค์กรที่ไม่สามารถปรับตัวได้ทันก็จะไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้ต่ออย่างยั่งยืน Digital Transformation สามารถทำให้องค์กรหรือบริษัทหนึ่งสร้างความสั่นสะเทือน (disruption) ในวงการธุรกิจที่มีอยู่เดิม และแน่นอนว่า องค์กรที่ไม่สามารถปรับตัวได้ทันก็จะไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้ต่ออย่างยั่งยืน มากกว่าการพัฒนาศักยภาพ Digital Transformation คือหนทางรอด จากนิยามความหมายของ Digital Transformation ข้างต้น เราพอจะเห็นภาพว่าทำไม Digital Transformation ถึงสำคัญ นั่นเป็นเพราะ Digital Transformation เป็นมากกว่าการแค่ทำให้องค์กรขึ้นพัฒนาศักยภาพตนเองให้ดีขึ้น แต่หลาย ๆ ครั้ง มันหมายถึง หนทางรอด ของธุรกิจนั้น ๆ เพราะถ้าองค์กรหรือบริษัทหนึ่ง ๆ ไม่วิวัฒนาการตนเองผ่าน disruption ในไม่ช้าก็จะต้องถูกองค์กรหรือบริษัทอื่น disrupt อยู่ดี นอกจากนี้แล้ว ผู้คนทั้งบุคลากรภายในองค์กรและบุคคลภายนอกที่ทำธุรกรรมกับองค์กรยุคใหม่ล้วนมีความคาดหวังที่สูงขึ้นจากความสะดวกสบายที่เทคโนโลยีดิจิทัลจะนำเสนอประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้าและผู้ใช้งานได้ ไม่ว่าจะเป็น และความคาดหวังที่สูงเหล่านี้สามารถถูกตีมูลค่าออกมาเป็นตัวเงินได้อีกด้วย ผลการวิจัยโดย Isobar ค.ศ. 2017 ได้ทำการศึกษาบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในสหรัฐอเมริกากว่า 1,000 บริษัท และค้นพบความสัมพันธ์ (correlation) ระหว่าง “ความมีศักยภาพทางดิจิทัล” ของบริษัทและราคาหุ้นของบริษัทในระยะยาวซึ่ง “ความมีศักยภาพทางดิจิทัล” นี้ถูกวัดโดยการพิจารณาจากองค์ประกอบต่าง ๆ เช่น ความเป็นที่รู้จักของแบรนด์ผ่านช่องทางดิจิทัล สัดส่วนรายได้ที่มาจากช่องทางดิจิทัล เป็นต้น ทำไม Digital Transformation ถึงทำยาก? การที่หลาย ๆ องค์กรก็ยังไม่สามารถทำ Digital Transformation ได้เป็นผลสำเร็จ อุปสรรคและข้อผิดพลาดที่มักเกิดขึ้น (Common Mistakes) สามารถแบ่งหลัก ๆ ได้เป็นกรณีดังนี้: ในงานสัมมนา Big Data Leadership Summit 2021 คุณปาจรีย์ แสงคำ Head of Digitization จากโอสถสภา ผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation ได้กล่าวไว้ว่า อุปสรรคในการทำ Digital Transformation ที่สำคัญที่สุดไม่ใช่เรื่องทางเทคนิคหรือตัวเทคโนโลยีที่ใช้ แต่เป็นเรื่องของการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลในองค์กร การปรับเปลี่ยนทัศนคติ ความเชื่อ และอุปนิสัยที่บุคลากรภายในองค์กรอาจคุ้นชินกับวิธีการทำงานแบบเดิม ๆ ที่ได้ผลอยู่แล้ว ประกอบกับผลเสียที่อาจเกิดขึ้นหากมีการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานแล้วเกิดข้อผิดพลาด ทำให้บุคลากรภายในองค์กรอาจมีกรอบความคิด (mindset) ที่ว่า “if it ain’t broke, don’t fix it.” (อย่าไปเปลี่ยนอะไรที่มันยังไม่เสีย) ซึ่งอาจรักษาเสถียรภาพขององค์กรโดยรวมไว้ได้ แต่ชุดวิธีคิดเช่นนี้กลับกลายเป็นอุปสรรคต่อวิวัฒนาการขององค์กรสู่ความเป็นดิจิทัล การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม วิถีการปฏิบัติงาน และทัศนคติต่อการทำงานภายในองค์กรสู่ Digital Transformation คุณปาจรีย์ได้ให้ข้อแนะนำในหลักการเปลี่ยนพฤติกรรม วิถีการปฏิบัติงาน และทัศนคติต่อการทำงานภายในองค์กร สู่การขับเคลื่อนด้วย Digital Transformation ดังนี้ อุปสรรคในการทำ Digital Transformation ไม่ได้มีเพียงเรื่องทางเทคนิค แต่เป็นเรื่องของการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลในองค์กร แนวทางของกระบวนการ Digital Transformation             ถึงแม้ว่ากระบวนการทำ Digital Transformation จะไม่ได้มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่องค์ประกอบที่ชัดเจนที่คุณปาจรีย์ได้แนะนำไว้ โดยอ้างถึงแนวคิดจาก Gartner คือ การปลูกฝังค่านิยมและชุดความคิด (mindset) ผนวกกับกระบวนการทำงาน (process) ที่พร้อมรับความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เมื่อถูกขยายผลด้วยเทคโนโลยี (technology) ที่ตอบโจทย์และภารกิจขององค์กร จะนำไปสู่ขีดความสามารถ (capabilities) ใหม่ ๆ ที่สร้างประสิทธิผลเชิงประจักษ์ บทสรุป ท่ามกลางยุคที่ความเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องปกติ องค์กรที่ผ่านกระบวนการ Digital Transformation จะสร้างขีดความสามารถในการผลิตนวัตกรรมที่เป็นมากกว่าการเติบโต แต่อาจหมายถึงความอยู่รอดขององค์กร ทั้งนี้ คุณปาจรีย์ได้เน้นย้ำว่า ความท้าทายหลักของ Digital Transformation คือการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล และวัฒนธรรมองค์กร ซึ่งองค์กรสามารถเริ่มวางยุทธศาสตร์ตามหลักการเปลี่ยนพฤติกรรมและชุดความคิด (behavior and mindset) ภายในองค์กร ผนวกกับกระบวนการ และเทคโนโลยีที่เหมาะสม เนื้อหาโดย ปพจน์ ธรรมเจริญพร ตรวจทานและปรับปรุงโดย ปพจน์ ธรรมเจริญพร
1 June 2023

บทความ

3 ตัวชี้วัดหลักของ E-commerce จะช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลของคุณได้อย่างไร
ทุกคนคงรู้ดีว่า E-commerce เป็นวงการที่โหดเหี้ยมและจะยิ่งมีการแข่งขันสูงขึ้นเรื่อย ๆ จากเหตุการณ์โรคระบาดที่ทุกคนออกไปไหนไม่ได้ ทำให้ยอดขายผ่านทาง E-commerce เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาเพียงสามเดือน ซึ่งเทียบได้กับการเติบโตเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา และก็ไม่มีแนวโน้มว่าอัตราการเติบโตจะลดลงเลย แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่ากลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยนั้นจะขายสินค้าได้ง่ายขึ้น (E-commerce และการวิเคราะห์ข้อมูล) ร้านค้าออนไลน์ประสบปัญหาเนื่องจากการแข่งขันที่สูงขึ้นและลูกค้าประจำลดฮวบลง ในขณะที่นักช้อปออนไลน์มักจะถูกจูงใจได้ง่าย ๆ ด้วยปัจจัยทางด้านราคาและระยะเวลาในการจัดส่ง  รวมไปถึงโจทย์ใหญ่ ๆ เช่น การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าและการช่วยเหลือลูกค้า จึงไม่มีช่วงเวลาไหนเลยที่ผู้ประกอบการจะได้พักให้หายเหนื่อยได้เลย ดังนั้นการวิเคราะห์ข้อมูลจึงมีบทบาทสำคัญต่อความสำเร็จในการทำ E-commerce ผู้ประกอบการจำเป็นต้องทราบว่าขณะนี้ร้านมียอดขายเพิ่มขึ้นหรือลดลง ลูกค้าเข้ามาหามากที่สุดในช่องทางไหน ลูกค้ากลุ่มไหนที่ใช้เงินมากที่สุดหรือเป็นลูกค้าประจำ ฯลฯ แต่การวิเคราะห์ข้อมูลก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ถ้าไม่มีข้อมูล ดังนั้นผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องติดตามผลและเก็บข้อมูลตัวชี้วัดของอีคอมเมิร์ซหรือ E-commerce Metrics ที่ถูกต้องเพื่อให้นักวิเคราะห์สามารถนำข้อมูลมาใช้ได้ ไม่เช่นนั้นคุณจะไม่รู้ว่าอะไรที่คุณทำถูกแล้ว (หรือทำไม่ถูก) และระบุได้ว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงอะไรเพื่อเพิ่มรายได้และทำผลกำไรให้ดีขึ้น แต่ละบริษัทอาจมีตัววัดที่ตอบโจทย์เป้าหมายธุรกิจที่แตกต่างกัน แต่ก็มีตัวชี้วัดบางตัวที่มักจะเป็นตัวชี้วัดหลักที่ใช้ได้กับเกือบทุกรูปแบบธุรกิจ ซึ่งตัวชี้วัดเหล่านี้จำเป็นอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในการวิเคราะห์ข้อมูล และตัวชี้วัดต่อไปนี้ก็คือตัววัดประสิทธิภาพธุรกิจที่ธุรกิจ E-commerce ทุกรายควรติดตามผล เพื่อให้เราได้ข้อมูลที่สามารถนำไปใช้ต่อได้และเกิดความเข้าใจเชิงลึกในข้อมูล 1. มูลค่าคำสั่งซื้อโดยเฉลี่ย (Average Order Value) มูลค่าคำสั่งซื้อโดยเฉลี่ย หรือ Average Order Value (AOV) หมายถึงจำนวนเงินเฉลี่ยของคำสั่งซื้อแต่ละยอดในเว็บไซต์หรือแอปมือถือของคุณ  มันเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการติดตามผลรายได้เนื่องจากมันหารรายได้ของคุณตามคำสั่งซื้อ จึงเป็นการโฟกัสที่รายได้ต่อธุรกรรมแทนที่จะเป็นจำนวนธุรกรรมที่เกิดขึ้นหรือจำนวนเงินที่คุณได้ เพราะยอดขายอาจทำให้ผู้ประกอบการเข้าใจผิดได้ เนื่องจากบางทียอดขายทำให้คุณรู้สึกว่าคุณขายได้เยอะ แต่ว่าแต่ละรายการนั้นได้จำนวนเงินที่ต่ำมาก AOV ช่วยให้คุณมองเห็นภาพชัดเจนของแนวโน้มรายได้ของคุณ AOV ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ข้อมูลให้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจที่สำคัญในบริษัทอีคอมเมิร์ซ เช่นจะเพิ่มหรือลดราคาหรือเปลี่ยนทิศทางการทำการตลาดไปดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังจ่ายสูงขึ้น AOV ที่ต่ำอาจเป็นสัญญาณว่าคุณต้องเพิ่มมูลค่าต่อคำสั่งซื้อ ตัวอย่างเช่น กำหนดยอดซื้อขั้นต่ำที่จะได้การจัดส่งฟรี เพื่อกระตุ้นให้ผู้ซื้อเพิ่มรายการสินค้าสองสามอย่างลงตะกร้าหรือนำเสนอชุดสินค้าหลายอย่างรวมกันที่มีมูลค่าสูงกว่าเพื่อจะกระตุ้นให้ลูกค้าใช้เงินมากขึ้นอีกนิดในแต่ละคำสั่งซื้อ นอกจากนี้ AOV ยังเป็นตัววัดที่สำคัญสำหรับการคำนวณต้นทุนและค่าใช้จ่าย  ตัวอย่างเช่น ถ้า AOV ของคุณสูงแต่ผลกำไรโดยรวมต่ำ นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าบริษัทของคุณใช้เงินมากเกินไปในการหาลูกค้าแต่ละราย  มีเพียงข้อมูลเท่านั้นที่บอกคุณได้ ซึ่งสิ่งนี้จะนำไปสู่ตัวชี้วัดถัดไปของเรา 2. ต้นทุนในการหาลูกค้า (Customer Acquisition Cost) ต้นทุนในการหาลูกค้า หรือ Customer Acquisition Cost (CAC) เป็นการวัดจำนวนเงินที่คุณใช้ในการดึงดูดลูกค้าใหม่แต่ละราย คุณสามารถคำนวณได้โดยการหารค่าการตลาดทั้งหมดด้วยจำนวนลูกค้าใหม่ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง CAC เป็นวิธีที่สำคัญในการติดตามผลความสำเร็จของการตลาดของคุณและเป็นตัวตัดสินใจว่าคุณจะใช้เงินไปกับการหาลูกค้าใหม่เท่าไร ถ้า CAC ของคุณสูงเกินไป อาจทำให้ทำกำไรได้ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้า AOV ของคุณต่ำด้วย แต่สำคัญที่ผู้ประกอบการต้องจำไว้ว่าต้นทุนในการหาลูกค้าที่สูงไม่ใช่เป็นสัญญาณเตือนเสมอไป ถ้าลูกค้าของคุณมีกำลังจ่ายสูงและเป็นลูกค้าประจำ มันก็คุ้มค่า ที่จะใช้จ่ายมากขึ้นเพื่อดึงดูดแต่ละคน แต่ในทางกลับกันสิ่งนี้ก็อาจเป็นความผิดพลาดได้ หากเราใช้เงินมากเกินไปในการหาลูกค้าใหม่ที่สั่งซื้อเพียงครั้งเดียวและมีมูลค่าต่อยอดการสั่งซื้อต่ำ เมื่อเราลองเทียบอัตรากำไรของสินค้าแต่ละชนิดในบริษัท คุณอาจพบว่าสินค้าแต่ละตัวทำกำไรแตกต่างกัน ดังนั้นการใช้กำไรของทุกสินค้าเพื่อกำหนดต้นทุนในการหาลูกค้าสูงสุดที่เป็นไปได้จึงเป็นเรื่องยาก แต่อย่างไรก็ตามคุณสามารถหาตัวเลขที่เป็นไปได้ของ CAC ได้ หากคุณจำกัดการวิเคราะห์ให้อยู่เฉพาะในตัวเลขกำไรของสินค้ายอดนิยมที่สุดในเว็บไซต์ของคุณ และแน่นอนว่าธุรกิจใหม่ ๆ จะมีอัตรา CAC ที่สูงกว่าธุรกิจที่มีมานานเนื่องจากยังไม่มีฐานลูกค้าประจำหรือยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง 3. อัตราการปิดการขาย Conversion Rate อัตรา Conversion Rate คือเปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้บริการที่ดำเนินการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เราต้องการวัดผลเทียบกับผู้ใช้บริการทั้งหมด ซึ่งอาจเป็นการลงชื่อรับจดหมายข่าวสารจากทางอีเมลของคุณ คลิกดูสินค้า “คอลเลคชันใหม่” ในร้านค้าออนไลน์ของคุณ หรือทำการสั่งซื้อ โดยขึ้นอยู่กับคุณว่าจะตัดสินใจติดตามผล Conversion ตัวไหน แต่ตัววัด Conversion Rate ของ E-commerce ที่นิยมที่สุดคือจำนวนธุรกรรมต่อการเข้าชม หรืออีกนัยหนึ่งคือ เปอร์เซ็นต์ของคนที่เข้าชมเว็บไซต์ของคุณแล้วทำให้เกิดยอดขาย Conversion Rate ของคุณนั้นจำเป็นอย่างยิ่งต่อการทำกลยุทธ์การตลาดของคุณ รวมถึงการใช้จ่ายค่าโฆษณาและการตลาดรูปแบบอื่น ๆ ที่ต้องจ่ายเงิน ถ้าอัตรา Conversion Rate ของคุณต่ำ อาจหมายความว่า Keyword ในการทำ SEO ของคุณไม่มีประสิทธิภาพ หรือคุณทำการโฆษณาขายสินค้าบนโซเชียลมีเดียโดยกำหนดกลุ่มเป้าหมาย (Target Audiences) ที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากคนที่เข้ามาชมเว็บไซต์ของคุณไม่ได้เข้ามาซื้อสินค้าของคุณ (สังเกตจากอัตราการปิดการขายที่ต่ำ) ข้อมูลการปิดการขายยังให้ข้อมูลด้านการทดลองอื่น ๆ ที่คุณอาจนำไปปรับใช้กับการออกแบบเว็บไซต์ของคุณให้เหมาะสมเพื่อเกิดยอดขายสูงสุด แต่ถ้าหากจะทำการทดลองที่มีความซับซ้อนขึ้นไปอีก คุณสามารถแบ่งข้อมูลตามช่องทางการเข้าชม เพื่อให้คุณสามารถเทียบอัตรา Conversion Rate ต่อการออกแบบหน้าเว็บไซต์กับสิ่งที่ผู้เข้าชมมองหาก่อนจะคลิกเข้าไปดู ตัววัดธุรกิจเป็นแนวทางสู่ความสำเร็จของ E-commerce ตัววัดธุรกิจที่ถูกต้องเปรียบเสมือนสายตาของคุณผ่านผืนน้ำแห่ง E-commerce ที่ขุ่นมัวและหนาแน่น ดังนั้นจึงสำคัญอย่างยิ่งที่คุณต้องมีตัววัดที่ถูกต้อง โดยการติดตามผลมูลค่าคำสั่งซื้อโดยเฉลี่ย อัตราการปิดการขาย และต้นทุนในการหาลูกค้า เท่านี้คุณก็จะมีแหล่งข้อมูลที่สำคัญที่สามารถนำมาวิเคราะห์ข้อมูลได้และได้รับข้อมูลเชิงลึกในเรื่องประสิทธิภาพของร้านค้าออนไลน์ของคุณ ซึ่งจะทำให้ธุรกิจของคุณเติบโตและสร้างกำไรได้ดียิ่งขึ้น บทความโดย Evan Morrisเนื้อหาจากบทความของ Data Science Centralแปลและเรียบเรียงโดย ไอสวรรค์ ไชยชะนะตรวจทานและปรับปรุงโดย อนันต์วัฒน์ ทิพย์ภาวัต
13 November 2022

บทความ

Digital Transformation สำหรับสำนักข่าวและสื่อมวลชนยุคดิจิทัล
สำนักข่าวและสื่อมวลชนทั้งหลายจะมอบคุณค่าที่ดีขึ้นด้วยข้อมูลเชิงลึกอย่างไร บริษัท Deloitte ได้ทําการศึกษาในเรื่องการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลจากทั่วโลก เพื่อศึกษาว่าสำนักข่าวและสื่อจะใช้ประโยชน์จากข้อมูลจากผู้เสพสื่ออย่างไร เพื่อดึงดูดผู้อ่านและสร้างรายได้ให้เพิ่มขึ้นได้อย่างไร ( Digital Transformation สำหรับสำนักข่าว ) บทนำ ดิจิทัลมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมข่าวและสื่อมีเดีย จะเรียกว่าพลิกโฉมเลยก็ว่าได้ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ได้เริ่มต้นขึ้นมานานกว่า 20 ปีแล้ว การเปลี่ยนแปลงที่ถือว่าเปลี่ยนแปลงไปมากที่สุดคือการพิมพ์ เพราะในปัจจุบัน สิ่งพิมพ์ที่ยังคงพิมพ์เป็นกระดาษก็เหลือน้อยมาก เหล่าสำนักพิมพ์และรายการโทรทัศน์เกือบทั้งหมดตอนนี้ก็กลายเป็นเวอร์ชันดิจิทัลไปแล้ว สำนักข่าวและสื่อได้ใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนา Digital Platform มาสร้างข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้อ่าน ซึ่งในสมัยก่อนการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่สามารถทำได้ โดยข้อมูลเชิงลึกที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนเหล่านี้ จะสามารถทำให้สำนักข่าวและสื่อสามารถปรับปรุง เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้อ่านและเพิ่มรายได้ทางออนไลน์ ว่าแต่สำนักข่าวและสื่อสามารถขับเคลื่อนด้วยข้อมูลนี้ได้มากน้อยเพียงใดและพวกเขาทํากันอย่างไร? Deloitte ได้ทําการศึกษาและเก็บข้อมูลจากทั่วทุกมุมโลกเพื่อทําความเข้าใจว่า เหล่าสำนักข่าวและสื่อได้ใช้ประโยชน์จากข้อมูลของผู้รับชม เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมบน Digital Platform ของพวกเขา รวมทั้งเพิ่มคุณค่าของตัวสื่อเอง ไปจนถึงการสร้างรายได้ของแพลตฟอร์มเหล่านั้นอย่างไร ขั้นตอนช่วงตั้งต้น ข้อมูลของผู้รับชมเป็นหัวใจสำคัญอันดับต้นๆ ของสำนักข่าวสื่อสารมวลชน ทั้งความคาดหวังของผู้ลงโฆษณาและผู้อ่านต่างสร้างแรงกดดันต่อเหล่าองค์กรสื่ออย่างมาก โดยคาดหวังว่าสื่อจะมีการนำข้อมูลมาใช้ในการทำคอนเทนต์มากขึ้นเพราะผู้อ่านต้องการคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ และในส่วนของส่วนผู้ลงโฆษณาก็ต้องการความเข้าใจในเรื่องของความสนใจของผู้อ่าน รวมถึงการเข้าถึงกลุ่มคนเหล่านั้นที่มีโอกาสจะมาเป็นลูกค้าในอนาคต จึงไม่แปลกที่บริษัทข่าวและสื่อหลายแห่งได้ลงทุนในเทคโนโลยีที่สามารถนำข้อมูลมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้อ่านและผู้ลงโฆษณา และในบางบริษัทถึงกลับเปลี่ยนตัวเองเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่มีผลิตภัณฑ์ข่าวไปแล้วด้วยซ้ำ ซึ่งถือว่าเป็นการเกลี่ยนแปลงที่ก้าวกระโดดมากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ความพยายามในการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ล้วนมีเป้าหมายเดียวกัน – คือสร้างความเข้าใจเชิงลึกในตัวผู้อ่าน ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขันในโลกของข่าวดิจิทัล สำนักข่าวและสื่อทั่วโลกได้ใช้ข้อมูลผู้อ่านหรือผู้รับชมในการทำความเข้าใจและสื่อสารกับผู้อ่าน โดยเน้นที่การเพิ่มการตระหนักถึงการใช้ข้อมูลของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นและกฎระเบียบด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูลที่เข้มงวดยิ่งขึ้น เช่น ระเบียบการคุ้มครองข้อมูลทั่วไปของสหภาพยุโรป (GDPR) แม้ว่าผลกระทบระยะยาวของ GDPR และกฎระเบียบอื่น ๆ ที่กําลังจะมาถึงจะยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่เจตนาของกฎระเบียบคือการปกป้องผู้บริโภค เหล่าสำนักข่าวและสื่อที่ให้ความสําคัญกับการกํากับดูแลข้อมูลและการปฏิบัติตามกฎระเบียบใหม่ รวมถึงการไปมีส่วนร่วมตามการสนทนาในพี้นที่สาธารณะต่างถือว่าเป็นบริษัทที่โอกาสที่จะเติบโต สำนักข่าวและสื่อสร้างมูลค่าจากข้อมูลผู้รับชมอย่างไร สำนักข่าวและสื่อรวบรวม วิเคราะห์ และใช้ประโยชน์จากข้อมูลผู้รับชมในวัตถุประสงค์การดําเนินงาน 3 อย่าง ได้แก่ ซึ่งแต่ละวัตถุประสงค์การดําเนินงานแต่ละข้อเหล่านี้ถูกนิยามตามกรณีการใช้งานได้ดังนี้: ปรับปรุงให้ผู้อ่านมีส่วนร่วม (Engagement) กับเนื้อหามากขึ้น การมีส่วนร่วมของผู้อ่านที่มีคุณภาพเป็นสิ่งสําคัญยิ่งในการรักษาผู้อ่านและเพิ่มความสนใจของผู้อ่านให้มาอยู่กับเรามากขึ้น หากไม่มีผู้อ่านที่มากพอและพวกเขามีส่วนร่วมกับเราน้อยไป สำนักข่าวและสื่อจะไม่มีโอกาสสร้างระบบสมัครสมาชิกและการโฆษณาที่เป็นรายได้หลักในการที่จะทำให้องค์กรอยู่รอดและเจริญเติบโต พูดง่าย ๆ ก็คือเมื่อผู้อ่านไม่ชอบสื่อก็จะไม่สมัครสมาชิก เมื่อไม่มีสมาชิกก็จะขายโฆษณาได้น้อยลงและราคาถูกลง บริษัทก็จะขาดรายได้นั่นเอง การที่เราจะเพิ่มการมีส่วนร่วมหรือเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้อ่านได้นั้น เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าผู้อ่านมีส่วนร่วมอย่างไรและทําไมจึงมีส่วนร่วมกับแพลตฟอร์มข่าวดิจิทัล ซึ่งในความเป็นจริงแล้วสำนักข่าวและสื่อมีเดียทั้งหลายมีความชํานาญในการนำข้อมูลการมีส่วนร่วมของผู้รับชมมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการดึงลูกค้าเข้ามาเสพข่าวอีกครั้ง  การให้ผู้อ่านอยู่ในเว็บไซต์เรานานขึ้น หรือแม้แต่การเพิ่มความถี่ในการเยี่ยมชม บอกเลยว่าพวกสำนักข่าวและสื่อทำได้ดีกว่า บริษัทอื่น ๆ ที่ยังมีข้อมูลไม่ค่อยสมบูรณ์ด้วยซ้ำ เพิ่ม Direct-paying Relationship กับผู้อ่าน การเปลี่ยนไปใช้การสมัครสมาชิกและรูปแบบรายได้อื่น ๆ ที่ไม่ได้มาจากโฆษณาทําให้สำนักข่าวและสื่อหลายแห่งคิดว่าผู้อ่านเป็นผู้บริโภค เช่นเดียวกับผู้ค้าปลีกออนไลน์ เหล่าสำนักข่าวและสื่อสารมวลชนเหล่านี้ใช้ข้อมูลเพื่อ: สำนักข่าวและสื่อที่ประสบความสําเร็จในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อ่าน พวกเขาไม่เพียงแต่เห็นประโยชน์ในระยะสั้นของรายได้ที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังลดความผันผวนในการดําเนินงานผ่านกระแสรายได้ที่เกิดขึ้นในระยะยาวอีกด้วย สำนักข่าวและสื่อมีความชํานาญในการใช้ข้อมูลในการสมัครสมาชิกและรูปแบบรายได้อื่น ๆ ที่เพิ่มการเก็บรักษาฐานข้อมูลผู้อ่าน อัตราการแปลงในผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ต้องชําระเงินและรายได้โดยรวมต่อผู้อ่าน เพิ่มรายได้จากผู้ลงโฆษณา สำนักข่าวและสื่อสารมวลชนรวบรวมข้อมูลจากผู้รับชมกลุ่มแรกที่มีความเฉพาะตัวและเชื่อถือได้ เพื่อป้องกันข้อมูลของผู้รับชมจาก Third Party และเป็นไปตามกฎระเบียบความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน (Privacy Regulations) การศึกษาในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าผู้ลงโฆษณาต้องการร่วมมือกับเหล่าสำนักข่าวและสื่อ เพื่อสร้างแคมเปญตามกลุ่มของผู้รับชมอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการที่สำนักข่าวและสื่อแชร์ข้อมูลเชิงลึกของผู้อ่านที่หลากหลายให้กับผู้ลงโฆษณา เพื่อให้ลงโฆษณาสามารถสร้างแคมเปญตามกลุ่มของผู้รับชมอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะผู้ที่รู้จักผู้อ่านดีที่สุด ก็คือสำนักข่าวและสื่อชั้นนํานั่นเอง เข้าจึงสามารถสร้างคอนเทนต์ที่มีเนื้อหาที่ผู้อ่านสนใจและรักษาผู้อ่านเหล่านั้นไว้ได้ ซึ่งพวกเขาสามารถนำสิ่งนี้ไปต่อยอดให้เกิดรายได้โดยการทําหน้าที่เป็นที่ปรึกษาในกระบวนการสร้างสรรค์และการพัฒนาแคมเปญด้วย เมื่อคิดถึงการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล… สำนักข่าวและสื่อจะใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้สูงสุดเมื่อข้อมูลมีความสมบูรณ์ จึงไม่แปลกใจเลยว่าหลาย ๆ สำนักข่าวและสื่อ (ที่มีส่วนร่วมในการวิจัย) มีเป้าหมายในการทำกลยุทธ์เดียวกันคือการปรับปรุงความสมบูรณ์ของข้อมูล แต่อย่างไรก็ตามเส้นทางสู่การเปลี่ยนแปลงจะต้องมีทิศทางที่ชัดเจนและต้องตั้งมั่นกับทางเลือกที่จะไปจะมุ่งไปด้วย Data Activation Framework หรือโครงสร้างกระบวนการเพื่อเอาข้อมูลมาใช้งาน มีขั้นตอนสําคัญสามขั้นตอนในการเปลี่ยนแปลงไปสู่โลกดิจิทัล และยังมีคู่มือการใช้งานข้อมูลที่มาพร้อมรายละเอียดขั้นตอนที่สามารถดําเนินการได้จริง เพื่อเพิ่มความสมบูรณ์ของข้อมูลดังนี้ การสร้างเส้นทางในอนาคต จากผลการสํารวจ มีเพียงร้อยละ 9 ของสำนักข่าวและสื่อที่เข้ามาร่วมในการศึกษานี้ที่ถูกจัดให้เป็นสื่อที่มีข้อมูลสมบูรณ์ ซึ่งสำนักข่าวและสื่อเหล่านี้ประสบความสําเร็จในการใช้ข้อมูลของผู้รับชมเพื่อกระตุ้นรายได้และองค์กรเหล่านี้ก็ถูกบันทึกว่ามีผลการดําเนินงานทางการเงินอยู่ในชั้นนําของตลาดอีกด้วย ในขณะที่กลุ่มสำนักข่าวชั้นนำพยายามหาโอกาสในการสร้างรายได้เพิ่มเติมจากข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้รับชม สำนักข่าวและสื่อมีเดียหลายแห่งลงทุนในข้อมูลผู้รับชมเพียงแค่เพื่อรักษาผู้อ่านปัจจุบันของพวกเขาเท่านั้น ในอุตสาหกรรมที่ท้าทายเช่นนี้ เหล่าองค์กรสื่อสารมวลชนต่าง ๆ จะมุ่งเน้นไปที่การแสวงหาเส้นทางที่ดีที่สุดเพื่อปรับปรุงความสมบูรณ์ของข้อมูลซึ่งตอนนี้เป็นเวลาที่ต้องทำแล้ว เกี่ยวกับผลการศึกษาของ Deloitte Deloitte ได้จัดให้มีการสัมภาษณ์กับบุคคลมากกว่า 80 คนในสำนักข่าวและสื่อมากกว่า 50 แห่งจาก 16 ประเทศทั่วโลก โดยสามารถอ่านบทวิเคราะห์ของการสัมภาษณ์ได้ที่นี่ คลิก บทความโดย บริษัท Deloitte.เนื้อหาจากบทความของ บริษัท Deloitte.แปลและเรียบเรียงโดย วิน เวธิตตรวจทานและปรับปรุงโดย นนทวิทย์ ชีวเรืองโรจน์
12 November 2022

บทความ

วัฒนธรรมข้อมูล กับวิกฤติโควิด-19
การเปลี่ยนแปลงข้อมูลขององค์กร หลังโควิด ในวิกฤติยังมีโอกาส นับตั้งแต่ช่วงแรกของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2563 หลาย ๆ องค์กรต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานเข้าสู่การทำงานรูปแบบ Work From Home อย่างเร่งด่วน รวมถึงยังได้รับผลกระทบกับธุรกิจในหลาย ๆ ด้าน ยิ่งสถานการณ์คาดเดาไม่ได้เท่าไร ยิ่งความเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอนมากแค่ไหน ก็ยิ่งเป็นตัวผลักดันให้เหล่าผู้บริหารจำเป็นต้องคอยสอดส่องดูแลธุรกิจของตัวเองอย่างใกล้ชิดมากขึ้น จากเดิมที่การติดตามผลการบริหารที่อาจจะเป็นรายเดือน รายสัปดาห์ ก็แทบจะต้องลงมาพิจารณาลึกลงในระดับของรายวันแทบทั้งนั้น ยังไม่นับสถานการณ์การแพร่ระบาด ที่จำเป็นจะต้องติดตามทั้งในระดับของประเทศ และลงมาในระดับขององค์กรตนเองด้วย ยิ่งสำหรับธุรกิจผลิตและกระจายสินค้านั้น ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมากเพราะนั่นอาจหมายถึงการที่จะต้องหยุดการดำเนินธุรกิจไปชั่วระยะหนึ่งเลยทีเดียว ซึ่งแน่นอนว่าความเสียหายนั้นไม่สามารถประเมินค่าได้ และอาจรุนแรงถึงขั้นทำให้ต้องเลิกกิจการได้เลยทีเดียว เมื่อโลกไม่ยอมให้เราทำงานแบบเดิม ๆ แม้สถานการณ์โควิด-19 จะเป็นเรื่องที่บีบบังคับธุรกิจในหลาย ๆ ด้าน แต่ความพยายามแรก ๆ ในการฟันฝ่าปัญหาต่าง ๆ ย่อมหนีไม่พ้นการใช้วิธีการแก้ปัญหาแบบเดิม ๆ ซึ่งหลายธุรกิจคงทราบดี ว่าความพยายามเหล่านั้นล้วนติดขัดและเกิดปัญหาเป็นลูกโซ่มากขึ้นท่ามกลางวิกฤตินี้ไม่ว่าจะเป็น เพียงแค่พิจารณาจาก 3 ตัวอย่างข้างต้น ก็จะเห็นว่าสถานการณ์โควิด-19 นั้น นอกจากจะกระทบกับธุรกิจทางตรงแล้ว ยังส่งผลทางอ้อมอีกมากมายที่ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง ซึ่งก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงและสร้างผลเสียให้กับองค์กรมากขึ้นเป็นทวีคูณ จนแทบจะไม่สามารถฟื้นตัวได้เลยหากยังคงพยายามทำงานในรูปแบบเดิมต่อไป สิ่งที่ตอบโจทย์ได้ดีกว่าอย่างไม่น่าเชื่อ กระแส Digital Transformation และ Data Visualization ต่างเป็นที่พูดถึงในวงกว้างตั้งแต่ช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงการระบาดนั้น กลับเป็นช่วงที่ทำให้องค์กรได้เห็นศักยภาพ และประโยชน์ของสิ่งเหล่านี้อย่างแท้จริง เพราะด้วยปัญหาข้างต้นที่กล่าวมานั้น สามารถนำแนวคิดทั้ง 2 เข้ามาปรับใช้เพื่อแก้ปัญหาได้แทบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการจัดทำระบบข้อมูลเพื่อติดตามสถานการณ์ธุรกิจทั้งยอดขาย คลัง หรือการผลิต ที่มีการอัพเดทข้อมูลอัตโนมัติ ทำให้ลดขั้นตอนในการจัดทำรายงานต่าง ๆ และยังทำให้สามารถทราบสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างทันท่วงทีอีกด้วย นอกจากเรื่องธุรกิจแล้ว เรายังสามารถประยุกต์เพื่อใช้ติดตามสถานะของพนักงานแต่ละคนได้แบบรายวัน รวมถึงยังจัดสรรรูปแบบรายงานที่เหมาะสมสำหรับผู้บริหาร/หัวหน้า อย่างอัตโนมัติโดยไม่ต้องใช้เวลาในการจัดทำรายงานเพิ่มเติมเลย ทั้งหมดนี้ดูแล้วอาจจะเหมือนเป็นการเปลี่ยนแปลงระบบครั้งใหญ่ ที่จำเป็นจะต้องใช้งบประมาณและกำลังพลปริมาณมาก แต่จริง ๆ แล้ว เราใช้เวลาเพียงแค่ 1-2 สัปดาห์ โดยใช้พนักงานเพียง 3-4 คนเท่านั้นในการจัดทำ เคล็ดลับความสำเร็จนั้นหาใช่การวางแผนระยะยาวที่แม่นยำ หรือการใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย แต่เป็นการปรับเปลี่ยนที่รวดเร็วเพื่อให้แก้ปัญหาที่แท้จริงให้ได้นั่นเอง ความคล่องตัวคือหัวใจสำคัญ องค์ประกอบสำคัญของการจัดการข้อมูลนั้น ให้แบ่งออกเป็น 3 เรื่องหลักคือ จะเห็นว่า ในการพิจารณาทั้ง 3 ด้านนั้น เราจะต้องมองไปที่ ความคล่องตัวในการใช้งาน ให้มากที่สุด เนื่องจากในช่วงวิกฤตินั้น เราไม่สามารถวางแผนหรือจัดเตรียมอะไรได้มากนัก ดังนั้นควรหยิบเครื่องมือที่มีอยู่แล้ว มาใช้งานจะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วกว่า นอกจากเรื่องระบบแล้ว บุคลากรก็เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งความคล่องตัวนั้น ในมุมของบุคลากรคือความสามารถในการเข้าถึงข้อมูล และทำความเข้าใจข้อมูลนั้น ๆ ได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากเราอาจมีพนักงานที่มีความสามารถด้านข้อมูล ที่ไม่ได้ดูแลข้อมูลที่เราต้องการนำมาใช้งาน ดังนั้นการประสานงานและการจัดการการเข้าถึงข้อมูลได้รวดเร็วนั้นถือเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้เกิดผลสำเร็จได้เร็ว ซึ่งการทำงานในรูปแบบของ Special Taskforce หรือ ทีมเฉพาะกิจ จะมีความเหมาะสมมากที่สุด เพื่อให้การอนุมัติการเข้าถึงต่าง ๆ ทำได้รวดเร็ว รวมถึงยังคงควบคุมความเสี่ยงไว้ในจุดที่ยอมรับได้ด้วย พัฒนาต่อเนื่องเพื่อเปิดมุมมองใหม่ ในช่วงแรกของการเปลี่ยนการทำงาน เราย่อมไม่สามารถจัดทำทุกรายงานออกมาพร้อม ๆ กันได้ ดังนั้นการคัดเลือกรายงาน/ข้อมูล ที่มีความต้องการสูงและมีผู้ใช้งานจำนวณมาก จึงเป็นเงื่อนไขสำคัญในการคัดเลือกโครงการเริ่มแรก ซึ่งแม้จะได้รับการตอบสนองอย่างดีก็ตาม แต่สิ่งที่จะต้องรับฟังอยู่เสมอคือข้อเสนอแนะต่าง ๆ รวมถึงการเพิ่มช่องทางการเข้าถึง Dashboard นั้น ๆ ให้ได้ง่ายที่สุด เช่นการส่ง Dashboard ผ่านช่องทางอื่น ๆ ที่ผู้ใช้งานคุ้นเคย ไม่ว่าจะเป็นอีเมล์ หรือผ่านระบบ Chat Notification (Line Notify) ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้งานเห็นถึงศักยภาพของการนำเสนอข้อมูลในรูปแบบใหม่ และช่วยจุดประกายให้มีการนำไปใช้ในข้อมูลชุดอื่น ๆ และการใช้งานอื่น ๆ มากขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากจะพยายามสร้างสรรค์รูปแบบการนำเสนอใหม่ ๆ แล้ว สิ่งหนึ่งที่ต้องรีบสังเกตและตอบสนองคือ มุมมองที่แตกต่างออกไปบน Dashboard เดิม เพราะสิ่งเหล่านี้คือสัญญาณบ่งบอกถึงการวิเคราะห์ข้อมูลในแง่มุมที่หลากหลายขึ้น และเกิดการตั้งคำถามในมุมมองที่แตกต่างออกไปในข้อมูลชุดเดิม ซึ่งถือว่าเป็นรากฐานที่สำคัญของการสร้าง Analytic Culture ในองค์กรอย่างมาก และจะเป็นกลไกผลักดันสำคัญให้เกิดการขยายผลไปยังวงกว้าง ขยายผลสู่วงกว้าง หลังจากโครงการแรกเริ่มถูกนำไปใช้เพื่อกระตุ้นและเปิดมุมมองใหม่ๆเกี่ยวกับการทำงาน สิ่งที่จะเกิดขึ้นเป็นอย่างแรกคือ Request ให้ขยายผลไปยังข้อมูลหรืองานอื่นๆ ซึ่งการขยายในลักษณะนี้จะถูกจำกัดด้วยกำลังพลและทักษะของพนักงานที่มี ดังนั้นสิ่งที่จำเป็นในการขยายผลนั้น ไม่ใช่งบประมาณมหาศาล หรือการเปิดรับพนักงานด้านข้อมูลจำนวนมาก แต่เป็นการฝึกทักษะของบุคลากรภายใน ให้สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยตนเอง และสร้างให้เกิดสังคมการเรียนรู้ด้านข้อมูลให้เกิดขึ้น เพื่อให้เกิดการถ่ายทอดความรู้กันเองโดยธรรมชาติระหว่างพนักงาน โดยเราสามารถแบ่งองค์ประกอบที่จำเป็นในการขยายผลให้เกิดผลสำเร็จได้เป็น 3 ส่วนดังนี้ จากทั้ง 3 องค์ประกอบนี้ จะเห็นว่าเป็นสิ่งที่สามารถทำได้โดยใช้งบประมาณไม่มาก และในอีกแง่มุมหนึ่งสถานการณ์โควิด-19 ก็กลับจะเป็นสถานการณ์ที่เอื้อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านข้อมูลขององค์กรได้เป็นอย่างดี หากเพียงแต่เราสามารถมองเห็นโอกาสที่แอบซ่อนอยู่ได้นั้น ก็จะสามารถพลิกมาเป็นเครื่องมือให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในองค์กร ที่ทำให้เกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดและยั่งยืน ซึ่งจะเป็นเกราะป้องกันอย่างดี สำหรับการเปลี่ยนแปลงหรือวิกฤติใหม่ ๆ ในอนาคต เนื้อหาโดย เมธี ศรีสุบันฑิตตรวจทานและปรับปรุงโดย นนทวิทย์ ชีวเรืองโรจน์
11 November 2022

บทความ

วิธีการการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาเปลี่ยนแปลงธุรกิจของคุณ
หากธุรกิจของคุณกำลังเผชิญกับความท้าทายในการรักษาแนวทางในการเปลี่ยนผ่านธุรกิจมาสู่ดิจิทัล Business Model Canvas คือเครื่องมือที่สามารถช่วยเปลี่ยนให้องค์กรเข้าสู่การทำงานแบบดิจิทัลอย่างแท้จริง
13 October 2022

บทความ

แนวทางการปฏิบัติที่ดีที่สุด สำหรับการวัดความสำเร็จในการลงทุนด้านดิจิทัล (Digital Transformation)
ในยุคปัจจุบันที่แต่ละองค์กรต่างโฟกัสที่การลงทุนในการเปลี่ยนองค์กรแบบเดิม ๆ ให้กลายเป็นองค์กรดิจิทัล สิ่งสำคัญที่ควรให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่งคือการสร้างโครงร่างที่ชัดเจนสำหรับการวัดผลความสำเร็จของ การลงทุนด้านดิจิทัล การเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล (Digital-Transformation) นั้นมีด้วยกันหลายองค์ประกอบ อาจเริ่มตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงด้านกระบวนการและโมเดลธุรกิจไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงด้านวัฒนธรรมและพัฒนาองค์กร การวิเคราะห์เพื่อวัดระดับความสำเร็จการลงทุนด้านดิจิทัลนั้นคำนวณจากดัชนีชี้วัดความสำเร็จ (KPI) ซึ่งบ่งชี้การทำกำไรที่เกิดขึ้นสืบเนื่องจากการลงทุนเพื่อการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลเป็นหลัก ซึ่งการวิเคราะห์เหล่านี้จะช่วยรับรองได้ว่าการลงทุนดังกล่าวจะได้รับผลตอบแทนไม่ต่ำกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ในตอนแรก อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่นานมานี้ได้มีการจัดทำแบบสำรวจผู้บริหารระดับ C ทั่วโลกโดย EY-Parthenon ซึ่งได้เปิดเผยว่าในขณะที่บริษัทต่าง ๆ ลงทุนด้านเทคโนโลยีมากขึ้นเป็นสองเท่า แต่พวกเขากลับประสบปัญหาในการวางแผนกลยุทธ์การลงทุนด้านดิจิทัลที่ชัดเจน วิธีการกำกับดูแลแบบศูนย์กลาง ในบรรดาผู้ที่ประสบความสำเร็จนั้น พวกเขามักเลือกใช้วิธีกำกับดูแลแบบเข้าสู่ศูนย์กลางในการจัดการกับผลประโยชน์และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งกลุ่มผู้นำเหล่านี้ยังได้พัฒนาโปรแกรมทางการเพื่อใช้ระบุ วัดค่า และรายงานผลลัพธ์การลงทุนทางด้านดิจิทัลอีกด้วย “ปัญหาหลักที่คุณต้องคำนึงคือคุณจะจัดสรรเงินทุนเพื่อทำการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลได้อย่างไร และคุณจะวัดผลตอบแทนการลงทุนได้อย่างไร” Laura McGarrity (ลอรา แม็คแกร์ริที้) หัวหน้าฝ่ายนวัตกรรมดิจิทัลของ EY-Parthenon และหนึ่งในผู้เขียนรายงานกล่าว “ถ้าคุณบอกว่าคุณจะได้รับผลตอบแทนคืน 5 เท่า คุณจะแน่ใจได้อย่างไรว่าคุณได้นำผลตอบแทนนั้นกลับคืนสู่ธุรกิจจริง ๆ” เธอยังบอกอีกว่าผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกคน ตั้งแต่ CEO ลงไปจนถึงหน่วยธุรกิจรายย่อย ต้องเข้าใจชัดเจนเกี่ยวกับตัวชี้วัดที่จะช่วยขับเคลื่อนผลตอบแทนการลงทุนนั้น “สิ่งสำคัญคือคุณต้องรู้ว่าคุณกำลังพยายามทำอะไรให้สำเร็จ” McGarrity กล่าว “มันจะมีประโยชน์ต่อคุณอย่างยิ่งในระยะยาวถ้าคุณสามารถสร้างทะเลสาบข้อมูล (Data Lake) ที่สมบูรณ์ ที่ทำให้คุณสามารถเก็บสะสมข้อมูลที่คุณรวบรวมมาได้ครบถ้วนสมบูรณ์ รวมถึงทำให้คนในองค์กรสามารถเข้าถึงและเข้าใจข้อมูลเหล่านั้น ซึ่งจะทำให้พวกเข้าสามารถนำข้อมูลไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ” กรอบการกำกับดูแลด้านดิจิทัล (Digital Governance Framework) การมี “โครงร่าง” สำหรับการกำกับดูแลด้านดิจิทัลที่ออกแบบมาอย่างดีนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งต้องครอบคลุมถึงการกำหนดผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจและระบุผู้รับผิดชอบหรือเจ้าของโครงการที่ชัดเจนด้วยเช่นกัน โครงร่างดังกล่าวยังต้องสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงที่ต่อเนื่อง ทั้งในด้านของอำนาจการบริหารจัดการการเปลี่ยนสู่องค์กรดิจิทัล และการสนับสนุนหลักการในการเพิ่มยอดขาย ลดค่าใช้จ่าย การทำตามข้อกำหนด และการควบคุมความเสี่ยงอีกด้วย “สิ่งสำคัญคือการใช้กรอบการกำกับดูแลเข้ามาช่วย เพื่อให้แน่ใจว่าการเปลี่ยนแปลงสู่องค์กรดิจิทัลนั้นจะได้รับการสนับสนุน และไม่ถูกปิดกั้น” Rich Quattrocchi (ริช ควาททรอชชี) รองประธานฝ่ายการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลของ Mutare วิสาหกิจการสื่อสารและผู้ให้บริการด้านความปลอดภัยกล่าว “การจัดสรรเงินทุนควรทำควบคู่ไปกับอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำจากการลงทุนของวิสาหกิจเพื่อความรวดเร็วในการออกสู่ตลาด การเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลก็เช่นกัน” จากมุมมองของริช การสร้างความสมดุลระหว่างสองสิ่งเป็นเรื่องที่จำเป็น โดยเราต้องหาจุดสมดุลระหว่างคำว่า “สมบูรณ์แบบ” และคำว่า “ดีพอผ่าน” เพราะสองคำนี้เป็นศัตรูตัวฉกาจของกันและกัน “โครงการที่สนับสนุนพันธกิจ กลยุทธ์ และนโยบายที่ให้ผลกำไรตอบแทนสูงสุด ควรจะดึงดูดการลงทุนที่มากขึ้น” เขากล่าว “โดยคำนึงว่าความเร็วคือข้อได้เปรียบทางธุรกิจ ดังนั้นความพยายามในการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลจึงต้องรวดเร็วด้วยเช่นกัน  ใช่ว่าทุกการเดิมพันจะสำเร็จเสมอไป ดังนั้นถ้าเปรียบเทียบการลงทุนเป็นที่ดิน เราก็ไม่ควรเดิมพันที่ดินทั้งหมดแค่กับที่ดินแปลงใหญ่แปลงเดียว แต่ควรลองเดิมพันทีละไร่สองไร่หลาย ๆ ที่” การมีผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียที่หลากหลายเป็นเรื่องสำคัญ การวัดผลตอบแทนด้านดิจิทัลของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจะขึ้นอยู่กับโครงสร้างของการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล โดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องจะมีตั้งแต่ผู้บริหารระดับ C หน่วยธุรกิจหลัก ทีมงานปฏิบัติการไปจนถึงทีมงานสนับสนุน และเนื่องจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียนั้นมีหลายฝ่าย ดังนั้นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลักจึงควรเป็นคนที่รับผิดชอบต่อการทำให้ผลกำไรดีขึ้น “ประเด็นทั้งหมดของการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลคือเพื่อเพิ่มยอดขาย ลดค่าใช้จ่าย ทำตามข้อกำหนด และลดความเสี่ยง” Quattrocchi กล่าว นอกจากนี้ McGarrity ยังเสริมอีกว่า CFO จะเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลักและเป็นผู้ที่ต้องอยู่หัวแถวเสมอ อีกทั้งยังต้องมีแผนที่จะใช้ในการลงทุนด้านการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล เพื่อเตรียมพร้อมที่จะเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจอยู่เสมอ “ถึงอย่างนั้นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลักที่เกี่ยวข้องในการกำหนดตัวชี้วัดเหล่านี้ก็มีความหลากหลายตามแผนกและระดับชั้น” เธอกล่าวเสริม “เริ่มจากว่าใครเป็นคนผลักดันกลยุทธ์ด้านดิจิทัลสำหรับองค์กร ใช่ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์ไหม? หรือเป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายดิจิทัล? โดยทั่วไปจะเป็นหนึ่งในสองตำแหน่งนี้” Rick Sbrocca (ริค สบรอคคา) CMO ของ MNJ Technologies ผู้ให้บริการการแก้ปัญหาด้านไอที เสริมว่า ขณะที่ไอทีแบบศูนย์กลางเป็นแหล่งรวมผู้นำของการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลักระดับแผนกยิ่งมีส่วนเกี่ยวข้องมากกว่าที่เคยเป็นมา ตัวอย่างเช่น หัวหน้าฝ่ายขายและฝ่ายตลาดอาจต้องใช้ระบบ CRM หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลอาจต้องการเครื่องมืออัตโนมัติสำหรับงาน HR มากขึ้น และ CFO อาจต้องการ FinTech และการสนับสนุนด้านการวิเคราะห์ข้อมูล “กุญแจสู่ความสำเร็จคือข้อมูล” เขากล่าว “เพราะข้อมูลจะเป็นตัวขับเคลื่อนธุรกิจและการเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องในเวลาที่เหมาะสมยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลักทุกคน” วิธีปรับใช้การวัดผล Sbrocca อธิบายว่าสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงคือ เราต้องใช้ตัววัดผลความสำเร็จเดียวกันทั้งองค์กรธุรกิจ เช่น ผลตอบแทนการลงทุน (ROIC) กำไร ดัชนีความพึงพอใจและการมีส่วนร่วมของพนักงาน ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้กับโครงการการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลได้ “วิธีการและเทคโนโลยีสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลควรถูกกำหนดเป็นแต่ละกรณี ๆ ไปและมุ่งให้ความสำคัญไปที่เปอร์เซ็นต์การเติบโตของธุรกิจที่จะตามมา  รวมถึงผลลัพธ์ของทีมงานอีกด้วย” เขากล่าว เทคโนโลยีที่จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นได้แก่การย้ายข้อมูลไปสู่คลาวด์ การเพิ่มการรักษาความปลอดภัย การคิดค้น AI และกระบวนการหุ่นยนต์อัตโนมัติ (RPA) “ธุรกิจต่าง ๆ ควรพัฒนากลยุทธ์และแผนการกำกับดูแลด้านการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลให้มากขึ้น ซึ่งทั้งหมดควรอยู่ภายใต้ภาพรวมของธุรกิจขององค์กรอีกทีหนึ่ง” Sbrocca เสริม นี่อาจรวมไปถึงการประเมินผลอย่างต่อเนื่องของเป้าหมายธุรกิจและหาจุดที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้มากขึ้น ตลอดจนการลงทุนด้านเวลาและทรัพยากรเพื่อทำการค้นคว้าวิจัยเครื่องมือที่มีอยู่เพื่อช่วยให้องค์กรบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จได้ การวัดผลลัพธ์อาจเป็นปัญหา Quattrocchi ชี้ให้เห็นว่าธุรกิจหลายแห่งประสบปัญหากับการวัดผลลัพธ์ที่ได้จากการลงทุนด้านดิจิทัล เนื่องจากการวางแผนที่ไม่มีประสิทธิภาพและขาดการตั้งตัวชี้วัด (KPI) ก่อนที่จะเริ่มโครงการ “ขั้นตอนแรกของโครงการการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลคือ การระบุปัญหาที่คุณกำลังจะแก้ไข ระบุ KPI หรือตัวชี้วัดที่คุณจะใช้เพื่อนิยามความสำเร็จ และการสร้างเครื่องมือที่ทำการวัดผล” เขากล่าว “การวัดผลควรปราศจากอคติ วัดปริมาณได้ สื่อสารอย่างโปร่งใส และที่สำคัญที่สุด ไม่ควรมีผลย้อนกลับมาหากล้มเหลว” อย่างไรก็ตาม หากการลงทุนเกิดล้มเหลว ก็ต้องล้มให้ไว เพื่อให้องค์กรสามารถเปลี่ยนทิศทางได้หากจำเป็น และสามารถเดินหน้าไปยังเป้าหมายต่อไปได้ McGarrity จาก EY-Parthenon แนะนำให้เริ่มจากการเพิ่มการปรับปรุงด้านดิจิทัลเพิ่มและการพัฒนาตัววัดที่มีประสิทธิภาพที่ทำให้เห็นความสำเร็จที่เกิดขึ้น “นี่หมายถึงการเข้าใจตัวชี้วัดที่คุณกำลังสร้างขึ้นในระยะสั้น ซึ่งแม้ว่ามันอาจจะเกี่ยวพันกับกลยุทธ์ของคุณในระยะยาว ที่ไม่ได้เพิ่มรายได้หรือส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทันที” เธอกล่าว “คุณต้องยึดความเป็นจริงและบอกว่า ดูนี่ เราคิดว่าเราลดค่าใช้จ่ายได้ $500,000 หากเราทำกิจกรรมเฉพาะส่วนนี้ให้เป็นอัตโนมัติได้” เธอชี้ให้เห็นว่าไม่ใช่ว่าทุกความสำเร็จจะวัดได้ด้วยรายได้ และไม่ใช่ว่าทุกการลงทุนด้านดิจิทัลจะเห็นผลทันที “เป็นสิ่งสำคัญมากที่ต้องสื่อสารกลับไปยังผู้บริหาร” McGarrity กล่าว “นี่มันขึ้นอยู่กับการเริ่มต้นเล็ก ๆ และค่อย ๆ เรียนรู้ผ่านโอกาสที่เพิ่มเข้ามา” บทความโดย Nathan Eddyเนื้อหาจากบทความของ InformationWeekแปลและเรียบเรียงโดย ไอสวรรค์ ไชยชะนะตรวจทานและปรับปรุงโดย พีรดล สามะศิริ และนววิทย์ พงศ์อนันต์
29 July 2022

บทความ

Digital Transformation ของบริการสุขภาพ
How digital transformation and technology improves the quality of healthcare system
19 May 2021

บทความ

ถอดบทเรียน Scrum in Big data ภาครัฐ: Part III
ในยุคสมัยที่เปลี่ยนไป การทำงานต่าง ๆ ก็มักจะต้องคิดหาวิธีเพิ่มศักยภาพการทำงาน เพื่อสร้างความพึงพอใจต่อลูกค้าให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม digital ที่มีเปลี่ยนแปลงค่อนข้างไว ดังนั้นในบทความไตรภาคนี้ผมจากทีม big data ภาครัฐ ก็จะมาเล่าว่า เมื่อภาครัฐทดลองนำ scrum มาประยุกต์ใช้แล้วจะมีผลออกมาเป็นอย่างไรบ้าง โดยภาคสุดท้ายนี้เล่าถึง ผลที่เกิดขึ้นจากการนำ Scrum ไปประยุกต์ใช้ในองค์กรครับ
23 March 2021
PDPA Icon

We use cookies to optimize your browsing experience and improve our website’s performance. Learn more at our Privacy Policy and adjust your cookie settings at Settings

Privacy Preferences

You can choose your cookie settings by turning on/off each type of cookie as needed, except for necessary cookies.

Accept all
Manage Consent Preferences
  • Strictly Necessary Cookies
    Always Active

    This type of cookie is essential for providing services on the website of the Personal Data Protection Committee Office, allowing you to access various parts of the site. It also helps remember information you have previously provided through the website. Disabling this type of cookie will result in your inability to use key services of the Personal Data Protection Committee Office that require cookies to function.
    Cookies Details

  • Performance Cookies

    This type of cookie helps the Big Data Institute (Public Organization) understand user interactions with its website services, including which pages or areas of the site are most popular, as well as analyze other related data. The Big Data Institute (Public Organization) also uses this information to improve website performance and gain a better understanding of user behavior. Although the data collected by these cookies is non-identifiable and used solely for statistical analysis, disabling them will prevent the Big Data Institute (Public Organization) from knowing the number of website visitors and from evaluating the quality of its services.

  • Functional Cookies

    This type of cookie enables the Big Data Institute (Public Organization)’s website to remember the choices you have made and deliver enhanced features and content tailored to your usage. For example, it can remember your username or changes you have made to font sizes or other customizable settings on the page. Disabling these cookies may result in the website not functioning properly.

  • Targeting Cookies

    "This type of cookie helps the Big Data Institute (Public Organization) understand user interactions with its website services, including which pages or areas of the site are most popular, as well as analyze other related data. The Big Data Institute (Public Organization) also uses this information to improve website performance and gain a better understanding of user behavior. Although the data collected by these cookies is non-identifiable and used solely for statistical analysis, disabling them will prevent the Big Data Institute (Public Organization) from knowing the number of website visitors and from evaluating the quality of its services.

Save settings
This site is registered on wpml.org as a development site. Switch to a production site key to remove this banner.