News
ข่าวประชาสัมพันธ์
BDI News
BDI ผนึกภาคีเครือข่ายพัฒนากำลังคน หนุน NQF–Credit Bank สร้างทักษะ AI แห่งอนาคต ดัน “กาญจนบุรีโมเดล”
25 ธันวาคม 2568, กาญจนบุรี – สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ “การจัดทำหลักสูตรกลางสู่กรอบคุณวุฒิแห่งชาติ (NQF) และระบบธนาคารหน่วยกิต (Credit Bank) จังหวัดกาญจนบุรี” เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาหลักสูตรและระบบการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงกับการพัฒนากำลังคนในระดับพื้นที่ โดยมี สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI และหน่วยงานด้านการศึกษาในจังหวัดกาญจนบุรี เข้าร่วมแลกเปลี่ยนแนวทางการดำเนินงาน ณ หอประชุม 60 พรรษา โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี การประชุมครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา องคมนตรี เป็นประธานเปิดการประชุมและมอบนโยบายด้านการพัฒนาการศึกษา เพื่อให้การจัดการเรียนรู้และการพัฒนากำลังคนของจังหวัดกาญจนบุรี สามารถตอบโจทย์ทิศทางเศรษฐกิจและสังคมในอนาคตได้อย่างเป็นรูปธรรม มุ่งเชื่อมโยงนโยบายการศึกษาเข้ากับการจัดการเรียนรู้ในสถานศึกษา รองรับการเทียบโอนผลการเรียนรู้ตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติและระบบ Credit Bank สอดคล้องกับแนวคิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต รวมทั้งการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ด้าน AI และต่อยอดการพัฒนาหลักสูตรตามแนวทาง “กาญจนบุรีโมเดล” เพื่อเตรียมกำลังคนให้พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานในอนาคต ดร.สุนทรีย์ ส่งเสริม รองผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ กล่าวว่า ความท้าทายสำคัญของการพัฒนาประเทศในปัจจุบันไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการพัฒนาเทคโนโลยี แต่คือการพัฒนาคนให้สามารถเข้าใจและใช้เทคโนโลยีได้อย่างมีคุณภาพ จากผลการประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล (Program for International Student Assessment – PISA 2022) พบว่า คะแนนคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ของนักเรียนไทยยังมีช่องว่างเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development – OECD) และในปี 2029 การประเมิน PISA จะเพิ่มการวัดทักษะด้าน AI Literacy ซึ่งสะท้อนว่าประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญกับการสร้างความเข้าใจ AI ตั้งแต่ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน แม้ในปัจจุบันเด็กไทยจำนวนมากเริ่มใช้ AI ช่วยในการค้นหาข้อมูลแล้ว แต่การใช้งานส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับพื้นฐาน เช่น การพิมพ์คำสั่งหรือ Prompt เพื่อหาคำตอบเบื้องต้น ซึ่งยังไม่เพียงพอสำหรับการนำไปต่อยอดสู่การทำงานจริงที่ต้องมีทักษะการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ด้วยเหตุนี้ BDI จึงได้พัฒนาหลักสูตร Micro-credential ด้าน Data Analytics และ AI เพื่อยกระดับการเรียนรู้จากการ “ใช้เครื่องมือ” ไปสู่การ “เข้าใจกลไกและการประยุกต์ใช้” อย่างมีวิจารณญาณ และสามารถเชื่อมโยงผลการเรียนรู้เข้าสู่กรอบคุณวุฒิแห่งชาติ (NQF) และระบบ Credit Bank ได้อย่างเป็นรูปธรรม หลักสูตรดังกล่าวเป็นการเรียนรู้ในรูปแบบออนไลน์ ระยะเวลารวม 20 ชั่วโมง ครอบคลุมทั้งการเรียนผ่านวิดีโอและการลงมือปฏิบัติจริง เนื้อหาเริ่มตั้งแต่พื้นฐานของ AI และการนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน การสอนให้ AI จำแนกและวิเคราะห์ข้อมูล เช่น การแยกประเภทข้อมูลภาพและการตรวจจับวัตถุ ไปจนถึงการใช้ Generative AI อย่างมีตรรกะ ควบคู่กับการปลูกฝังความรับผิดชอบด้านข้อมูลและจริยธรรมของ AI โดยออกแบบให้เหมาะกับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายทั้งสายวิทยาศาสตร์และสายศิลปศาสตร์ สำหรับผู้เรียน หลักสูตร Micro-credentials จะช่วยเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจด้าน AI และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ผ่านรูปแบบการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น สามารถเข้าถึงบทเรียนและทบทวนความรู้ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ได้ทุกที่ทุกเวลา ขณะที่ผู้สอนจะได้รับการสนับสนุนทั้งคู่มือการจัดการเรียนรู้ สื่อการสอน เครื่องมือ AI ที่ใช้ในหลักสูตร การอบรมเชิงปฏิบัติการเตรียมความพร้อมก่อนเปิดสอน รวมถึงการสนับสนุนด้านวิชาการตลอดภาคเรียน ช่วยลดภาระในการพัฒนาเนื้อหาและยกระดับศักยภาพการจัดการเรียนรู้ยุคใหม่ การดำเนินงานในระยะแรก BDI ได้เริ่มนำร่องโครงการในจังหวัดกาญจนบุรี มีโรงเรียนเข้าร่วมจำนวน 8 แห่ง ครอบคลุมทั้งในกลุ่มโรงเรียนโครงการกองทุนการศึกษาและโรงเรียนเครือข่ายคุณธรรม ทั้งนี้ BDI พร้อมสนับสนุนคู่มือสำหรับครู และข้อมูลสำหรับติดตามความก้าวหน้าของนักเรียน เช่น สถิติการเข้าชมบทเรียนและการทำแบบทดสอบ เพื่อให้ครูผู้สอนสามารถดูแลการเรียนรู้ได้อย่างใกล้ชิด “การเรียนรู้ AI ในวันนี้เปรียบเสมือนการฝึกใช้เครื่องมือใหม่ที่ทรงพลัง หากเราสอนให้เด็กเข้าใจทั้งกลไกและการประยุกต์ใช้ ไม่ใช่เพียงการใช้งานในระดับพื้นฐาน เด็กไทยก็จะมีแต้มต่อสำคัญในการแข่งขันบนเวทีโลกในอนาคต” ดร.สุนทรีย์ กล่าวทิ้งท้าย
25 December 2025
BDI x กอช. ยกระดับการบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ พัฒนาศักยภาพด้าน Big Data และเทคโนโลยีดิจิทัล
18 ธันวาคม 2568, กรุงเทพฯ – สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI ร่วมกับกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือ โครงการพัฒนาศักยภาพด้านการจัดการข้อมูล จากข้อมูลขนาดใหญ่ เพื่อพัฒนาการใช้ประโยชน์จากข้อมูล ณ กองทุนการออมแห่งชาติ อาคาร เอส เอ็ม ทาวเวอร์ ดร.สุนทรีย์ ส่งเสริม รองผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ กล่าวว่า ในฐานะหน่วยงานที่ขับเคลื่อนการใช้ข้อมูลเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม BDI ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนหน่วยงานภาครัฐในการวางรากฐานการจัดการข้อมูลให้มีความเป็นระบบและได้มาตรฐาน ความร่วมมือกับกองทุนการออมแห่งชาติในครั้งนี้จึงมุ่งเน้นตั้งแต่กระบวนการรวบรวมและจัดเก็บข้อมูล การจัดทำบัญชีข้อมูล (Data Catalog) การกำหนดกรอบธรรมาภิบาลข้อมูล (Data Governance) ไปจนถึงการประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ เพื่อให้ข้อมูลสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และเกิดความเชื่อมั่นในการใช้งาน พร้อมกันนี้ ยังมุ่งส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านข้อมูล ให้สามารถเข้าใจและดำเนินงานด้านการจัดการข้อมูลได้ครบทุกมิติ ตั้งแต่การจัดการข้อมูลตามมาตรฐานสากล ไปจนถึงการนำข้อมูลไปใช้สนับสนุนการวิเคราะห์และการตัดสินใจเชิงนโยบาย ซึ่งจะช่วยให้หน่วยงานภาครัฐสามารถปรับการทำงานไปสู่การบริหารจัดการบนฐานข้อมูลได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยเปิดโอกาสให้ข้อมูลภาครัฐถูกนำมาเชื่อมโยงและต่อยอดในภาพรวมระดับประเทศ ส่งเสริมการใช้ข้อมูลให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม สนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบายที่มีความแม่นยำ และยกระดับการให้บริการภาครัฐตอบโจทย์ประชาชนมากยิ่งขึ้น ด้านนางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) กล่าวว่า กอช. เป็นกองทุนบำนาญภาคประชาชน สำหรับกลุ่มแรงงานนอกระบบ มีจุดมุ่งหมายสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม สร้างหลักประกันที่มั่นคงให้คนไทยที่มีอาชีพอิสระ อายุระหว่าง 15 – 60 ปี เริ่มออมได้ตั้งแต่ 50 บาท สูงสุด 30,000 บาทต่อปี พร้อมรับเงินสมทบจากรัฐสูงสุดถึง 100% แต่ไม่เกิน 1,800 บาทต่อปี ตามช่วงอายุ จึงทำให้ กอช. ต้องสะสมฐานข้อมูลสมาชิก ข้อมูลการดำเนินงาน รวมถึงเตรียมความพร้อมในการสะสมฐานข้อมูลการดำเนินงานของ สลาก กอช. ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ความร่วมมือในครั้งนี้ จะสามารถนำ Big Data มาเป็นขุมทรัพย์ทางปัญญา เพื่อช่วยตัดสินใจในการบริหารจัดการข้อมูล (Data-Driven Decision Making) รวมถึงเห็นภาพรวมทิศทางการตลาดของกองทุนการออมแห่งชาติได้อย่างแม่นยำในเรื่องการพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดสำหรับ กอช. และสลาก กอช. ให้ตรงความต้องการของผู้ใช้บริการ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมวินัยการออมของประชาชน เพิ่มโอกาสให้แรงงานนอกระบบมีเงินบำนาญ และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการกองทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ กอช. และ BDI จะร่วมกันพัฒนาองค์ความรู้และส่งเสริมกระบวนการจัดการข้อมูลหน่วยงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ช่วยสร้างธรรมาภิบาลข้อมูล โดยทั้งสองหน่วยงานได้บันทึกความเข้าใจความร่วมมือใน 4 ด้านหลัก ได้แก่ 1) การส่งเสริมและพัฒนาองค์ความรู้ด้านการจัดการข้อมูล 2) การพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ ความเข้าใจการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับข้อมูล 3) การส่งเสริมกระบวนการจัดการข้อมูลตามมาตรฐานสากล และ 4) การสนับสนุนข้อมูลเพื่อประโยชน์ส่วนรวมในการขับเคลื่อนประเทศ
18 December 2025
BDI ร่วมกับ ดีป้า และ TCT ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวไทย ด้วยข้อมูลขนาดใหญ่ ปัญญาประดิษฐ์ และดิจิทัล
17 ธันวาคม 2568, กรุงเทพฯ – BDI จับมือ ดีป้า และ TCT ประกาศความร่วมมือการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวไทยด้วยข้อมูลขนาดใหญ่ ปัญญาประดิษฐ์ และดิจิทัล พร้อมวางแผนเดินสายถ่ายทอดองค์ความรู้และกลไกส่งเสริมใน 9 พื้นที่ เชื่อความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยวางรากฐานให้ทุกภาคส่วนสามารถใช้ข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์เป็นเครื่องมือยกระดับการทำงาน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวของไทยให้เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า และ สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (TCT) ประกาศความร่วมมือการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวไทยด้วยข้อมูลขนาดใหญ่ ปัญญาประดิษฐ์ และดิจิทัล (Shaping Thai Tourism by Big Data, AI & Digital Transformation) โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมงานโดยพร้อมเพรียง ณ อาคาร ดีป้า (สำนักงานใหญ่) ซอยลาดพร้าว 10 เขตจตุจักร นางสาววิชุพรรณ ภูเก้าล้วน ศรีสัญญา รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดท่องเที่ยวโลกมีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ สังคม พฤติกรรมนักท่องเที่ยว รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ทำให้การบริหารจัดการและการกำหนดนโยบายจำเป็นต้องอาศัยข้อมูลที่ถูกต้อง ครอบคลุม ทันสมัย เพื่อประกอบการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเหตุนี้ ข้อมูลขนาดใหญ่และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการยกระดับการวิเคราะห์เชิงลึก ทั้งด้านพฤติกรรมนักท่องเที่ยว แนวโน้มการเดินทาง ความต้องการของตลาด และการคาดการณ์เชิงสถิติ ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้ทั้งในเชิงนโยบายภาครัฐ และเชิงกลยุทธ์ของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ทั้งนี้เพื่อตอบรับกับความต้องการในการยกระดับศักยภาพ BDI และ ดีป้า จึงเข้ามาสนับสนุนด้านเทคโนโลยีและเครื่องมือดิจิทัลที่สำคัญของความร่วมมือการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวไทยด้วยข้อมูลขนาดใหญ่ ปัญญาประดิษฐ์ และดิจิทัล ด้าน ศ. ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (BDI) กล่าวว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ขณะที่ตลาดท่องเที่ยวโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้การบริหารจัดการและการกำหนดทิศทางเชิงนโยบายต้องอาศัยข้อมูลที่ถูกต้องและทันสมัย ซึ่งข้อมูลขนาดใหญ่และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มีบทบาทสำคัญที่จะช่วยให้หน่วยงานและผู้ประกอบการเข้าใจพฤติกรรมนักท่องเที่ยว แนวโน้มการเดินทาง และความต้องการของตลาดได้อย่างลึกซึ้ง อีกทั้งนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ เพิ่มความแม่นยำในการวางแผน และยกระดับการตัดสินใจให้สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ BDI ได้พัฒนาแพลตฟอร์มอัจฉริยะด้านการท่องเที่ยวแห่งชาติ (TRAVEL LINK) เพื่อเป็นเครื่องมือกลางในการรวบรวม เชื่อมโยง และบริหารจัดการข้อมูลการท่องเที่ยวจากหลากหลายแหล่ง อีกทั้งเปิดโอกาสให้หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ สามารถนำไปต่อยอดด้วยการวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจได้อย่างเป็นรูปธรรมในระดับพื้นที่และระดับประเทศ โดย BDI มองว่า การนำข้อมูลและแพลตฟอร์มไปใช้ให้เกิดผลลัพธ์อย่างแท้จริง และสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานเชิงนโยบายและเชิงธุรกิจ จำเป็นต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านการท่องเที่ยว จึงเป็นที่มาของโครงการอบรมภายใต้ความร่วมมือกับ TCT และ ดีป้า เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ และทักษะการใช้ข้อมูลขนาดใหญ่และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ให้กับบุคลากรภาครัฐและภาคเอกชน ขณะที่ ดร.ปรีสาร รักวาทิน รักษาการรองผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าวว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยวมีความสำคัญอย่างยิ่งในบริบทของเศรษฐกิจไทย โดยมีสัดส่วนต่อ GDP ที่สูงและมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจฐานรากอย่างมหาศาล ด้วยเหตุนี้ ดีป้า จึงได้ร่วมกับ TCT และ BDI สนับสนุนภาคการท่องเที่ยว โดยส่งเสริมให้เกิดการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์มาประยุกต์ใช้ ซึ่ง ดีป้า ได้ทำงานภายใต้กลไก AI Transformation ที่ครอบคลุมทั้งการเตรียมพร้อมกำลังคนดิจิทัล ควบคู่กับการยกระดับ Digital & AI Solution ซึ่งเปรียบเสมือนโครงสร้างพื้นฐานสำคัญแห่งโลกอนาคต นอกจากนี้ ดีป้า ยังได้ดำเนินโครงการ AI Transformation โดยส่งเสริมให้เกิดการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลที่ขึ้นทะเบียนบนบัญชีบริการดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม และภาคเกษตรกรรม ผ่านการสนับสนุนใน 2 รูปแบบ ได้แก่ การยกระดับธุรกิจด้วยดิจิทัลตามมาตรการ d-transform และการส่งเสริมการเริ่มต้นใช้งานดิจิทัลผ่านมาตรการ d-voucher ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://aitransform.depa.or.th ทั้งนี้ สามหน่วยงานพร้อมเดินหน้าถ่ายทอดองค์ความรู้และกลไกส่งเสริมการนำเทคโนโลยีดิจิทัล ข้อมูลขนาดใหญ่ และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาประยุกต์ใช้ พร้อมตั้งเป้าขยายการดำเนินงานให้ครอบคลุม 22 จังหวัดท่องเที่ยวหลัก เพื่อยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในระดับสากล โดยในระยะเริ่มต้นจะจัดกิจกรรมโรดโชว์เพื่ออบรม ถ่ายทอดองค์ความรู้ใน 9 พื้นที่นำร่อง ได้แก่ จังหวัดเชียงราย อุดรธานี ขอนแก่น บุรีรัมย์ ระยอง พระนครศรีอยุธยา กระบี่ พื้นที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์และเพชรบุรี และพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว และผู้ที่สนใจใช้ประโยชน์จากข้อมูลด้านการท่องเที่ยว รวมไม่น้อยกว่า 1,000 คน ทุกหน่วยงานเชื่อว่า ความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นส่วนสำคัญในการวางรากฐานให้ทุกภาคส่วนสามารถใช้ข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์เป็นเครื่องมือยกระดับการทำงาน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และขับเคลื่อนการท่องเที่ยวไทยให้เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว
17 December 2025
อบจ.ชลบุรี – สปสช. – BDI จับมือปั้น Health Data Hub มาตรฐานสูง ปลอดภัยยกระดับสาธารณสุขชลบุรีสู่อนาคต!
16 ธันวาคม 2568, จังหวัดชลบุรี – องค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เรื่อง “การแลกเปลี่ยนและใช้ประโยชน์ข้อมูลสุขภาพประชาชนในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (UC)” เพื่อยกระดับระบบสาธารณสุขของจังหวัดให้โปร่งใส ปลอดภัย และพร้อมรองรับการบริหารจัดการด้วยข้อมูลในยุคดิจิทัล ภายใต้กรอบกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ณ องค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี นายแพทย์สินชัย ต่อวัฒนกิจกุล รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า สปสช.ให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบข้อมูลภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อให้ข้อมูลสามารถสนับสนุนการบริหารสิทธิและการให้บริการประชาชนได้อย่างถูกต้อง โปร่งใส และตรวจสอบได้ ความร่วมมือกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี และ BDI ในครั้งนี้ เป็นการวางกลไกการใช้ข้อมูลร่วมกันในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ให้สามารถนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ด้านการบริหารจัดการสิทธิ การติดตามบริการ และการวิเคราะห์เชิงระบบ โดยยังคงให้ความสำคัญกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด “ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยเสริมความพร้อมของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในการรองรับการบริหารจัดการบริการปฐมภูมิในบริบทใหม่ และเป็นฐานสำคัญสำหรับการพัฒนานโยบายด้านบริการสุขภาพในอนาคต” นายแพทย์สินชัย กล่าวเพิ่มเติม ทั้งนี้ ความร่วมมือในการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพของจังหวัดชลบุรีมีเป้าหมายสำคัญ 4 ประการ ได้แก่ 1. การบูรณาการและคืนข้อมูลสุขภาพให้กับพื้นที่ โดยเฉพาะหน่วยบริการปฐมภูมิ เพื่อให้สามารถดูแลประชาชนได้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น รองรับบริบทของจังหวัดที่มีทั้งประชากรในพื้นที่และประชากรแฝงจำนวนมาก 2. การใช้ข้อมูลระดับประเทศของ สปสช. เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการ 3. การวางแผนบริการ 4. การจัดสรรงบประมาณขององค์การบริหารส่วนจังหวัดอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังมุ่งผลักดันให้จังหวัดชลบุรีเป็นพื้นที่ต้นแบบด้านการเบิกจ่ายค่าบริการสาธารณสุขแบบเบิกจ่ายตรง ลดภาระการสำรองจ่ายของประชาชน และเพิ่มความคล่องตัวด้านการเงินของหน่วยบริการ ควบคู่กับการเตรียมความพร้อมด้านข้อมูลเพื่อรองรับสถานการณ์วิกฤต ทั้งภัยพิบัติและการระบาดของโรค โดยเฉพาะการดูแลกลุ่มเปราะบางอย่างทันท่วงที รองเลขาธิการ สปสช. กล่าวย้ำว่า ความร่วมมือครั้งนี้มีเป้าหมายสูงสุดเพื่อให้การใช้ข้อมูลสุขภาพเกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง และเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับการดูแลสุขภาพของประชาชนในระดับท้องถิ่นอย่างยั่งยืน ศ. ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ กล่าวว่า BDI มีบทบาทในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลสุขภาพและระบบเชื่อมโยงข้อมูลภาครัฐ เพื่อให้ข้อมูลสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงในการรักษา การบริหารจัดการ และการวิเคราะห์เชิงนโยบาย โดยแพลตฟอร์ม Health Link ถูกออกแบบมาเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพที่จำเป็น เช่น ประวัติการรักษา การแพ้ยา และโรคประจำตัว ระหว่างหน่วยบริการอย่างปลอดภัยและมีมาตรฐานเดียวกัน ศ. ดร.ธีรณี กล่าวเพิ่มเติมว่า ความร่วมมือกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และองค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรีในครั้งนี้ ถือเป็นการขยายการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพสู่ระบบปฐมภูมิขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างเป็นรูปธรรม โดยจังหวัดชลบุรีเป็นพื้นที่นำร่องแห่งแรกที่สามารถเชื่อมโยงหน่วยบริการในสังกัด อบจ. ครบทั้ง 118 แห่ง เพื่อรองรับการใช้งานทั้งในภาวะปกติและสถานการณ์ฉุกเฉิน “BDI ให้ความสำคัญกับการออกแบบระบบที่สอดคล้องกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) โดยกำหนดบทบาทด้านการควบคุมและประมวลผลข้อมูลอย่างชัดเจน เพื่อให้การใช้ข้อมูลเกิดขึ้นอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกภาคส่วน ความร่วมมือครั้งนี้จึงเป็นต้นแบบของการพัฒนาระบบข้อมูลสุขภาพระดับท้องถิ่น ที่สามารถขยายผลไปสู่พื้นที่อื่นทั่วประเทศในอนาคต” ผอ.BDI กล่าว ปัจจุบัน ระบบ Health Link สามารถเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพที่จำเป็นกว่า 12 ประเภท มีมาตรการรักษาความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล และเชื่อมโยงหน่วยบริการทั่วประเทศแล้วกว่า 8,600 แห่ง โดยในพื้นที่จังหวัดชลบุรี มีโรงพยาบาลที่เชื่อมโยงแล้ว 7 แห่ง และหน่วยบริการนวัตกรรมกว่า 100 แห่ง ส่งผลให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี สามารถเข้าถึงประวัติการรักษาของผู้ป่วยจากเครือข่ายที่เชื่อมโยงได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ BDI ยังสนับสนุนการออกแบบโครงสร้างพื้นฐาน การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล การพัฒนากลไกกำกับดูแลข้อมูล และการยกระดับศักยภาพบุคลากร เพื่อให้การใช้ข้อมูลสุขภาพตอบโจทย์ทั้งด้านการบริหารจัดการ การให้บริการประชาชน และการวางแผนด้านงบประมาณและกำลังคน อันเป็นเป้าหมายสำคัญของความร่วมมือในครั้งนี้ ด้านนายวิทยา คุณปลื้ม นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี กล่าวว่า จังหวัดชลบุรีให้ความสำคัญกับการยกระดับระบบสาธารณสุขด้วยการใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีเป็นฐาน โดยเฉพาะภารกิจด้านการดูแลสุขภาพประชาชน ซึ่งเป็นบทบาทสำคัญขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ภายหลังการถ่ายโอนภารกิจด้านสาธารณสุขปฐมภูมิ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลทั้ง 118 แห่งมาอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ อบจ.ชลบุรี นายก อบจ.ชลบุรี กล่าวเพิ่มเติมว่า จังหวัดชลบุรีเป็นศูนย์กลางด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว มีประชากรแฝงจำนวนมาก ทำให้การบริหารจัดการข้อมูลสุขภาพที่ถูกต้อง ทันสมัย และเชื่อมโยงกันได้ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการให้บริการประชาชนอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ “ความร่วมมือกับ สปสช. และ BDI ในครั้งนี้ จะช่วยให้หน่วยบริการในสังกัด อบจ.ชลบุรี ทั้ง 118 แห่ง สามารถเข้าถึงข้อมูลสุขภาพที่จำเป็นภายใต้กรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และนำไปใช้ในการดูแลรักษา วางแผน และพัฒนาระบบสาธารณสุขของจังหวัดได้อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมยืนยันความมุ่งมั่นของ อบจ.ชลบุรีในการผลักดันความร่วมมือครั้งนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนในระยะยาว” นายวิทยา กล่าวสรุป ในขณะเดียวกัน ทั้งสามหน่วยงานยังร่วมกันพัฒนาระบบฐานข้อมูลสุขภาพกลางของจังหวัด (Health Data Hub) ที่รองรับข้อมูลประชาชนผู้ใช้งานกว่า 2,500,000 ราย ให้เป็นระบบที่มีมาตรฐานสูง ครบถ้วน ปลอดภัย และรองรับการวิเคราะห์เชิงนโยบาย รวมถึงสนับสนุนการใช้ข้อมูลผ่านระบบ Health Link เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างสถานพยาบาล จำนวน 118 แห่ง ช่วยให้แพทย์เข้าถึงข้อมูลสำคัญของผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็ว ลดความล่าช้าในการรักษา และเพิ่มความต่อเนื่องของการดูแลสุขภาพ การพัฒนาระบบ Health Data Hub และการเชื่อมโยงข้อมูลผ่าน Health Link ช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากรสาธารณสุขในพื้นที่ ให้สามารถใช้ข้อมูลในการวิเคราะห์ วางแผน และบริหารจัดการทรัพยากรได้อย่างเหมาะสม ควบคู่กับการพัฒนาศักยภาพบุคลากรและการใช้ข้อมูลสุขภาพอย่างถูกต้อง ปลอดภัย และสอดคล้องกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อระบบบริการสุขภาพของประชาชนในจังหวัดชลบุรี MOU ฉบับนี้กำหนดกรอบความร่วมมือ บทบาท และหน้าที่ของแต่ละหน่วยงานไว้อย่างชัดเจน รวมถึงมาตรการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลตามกฎหมาย เพื่อให้การใช้ข้อมูลเกิดขึ้นอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ และสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน การลงนามในวันนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของจังหวัดชลบุรีในการพัฒนาระบบสาธารณสุขดิจิทัลอย่างครบวงจร ช่วยให้ข้อมูลสุขภาพถูกนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างปลอดภัยและคุ้มค่า สนับสนุนการวางแผน บริหารจัดการ และพัฒนาคุณภาพบริการสาธารณสุขของจังหวัดได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว และวางรากฐานสู่อนาคตของระบบสุขภาพดิจิทัลของจังหวัดชลบุรีอย่างแท้จริง
16 December 2025
BDI เปิดบ้านต้อนรับการเยี่ยมชมศึกษาดูงานคณะของกระทรวงการสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งสหสาธารณรัฐแทนซาเนีย
15 ธันวาคม 2568, กรุงเทพฯ – สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI โดย ดร.สุนทรีย์ ส่งเสริม รองผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ เปิดบ้านต้อนรับคณะจากกระทรวงการสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งสหสาธารณรัฐแทนซาเนีย นำโดย Mr. Nkundwe Moses Mwasaga Director General of Information and Communication Technology Commission (ICTC) พร้อมด้วย Mr. Florean Rwehumbiza Laurean กงสุลกิตติมศักดิ์สหสาธารณรัฐแทนซาเนียประจำประเทศไทย ในโอกาสเข้าเยี่ยมชมศึกษาดูงานด้าน Big Data Analytics, Data Lakes และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ณ ห้องประชุม อาคารสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ ซอยลาดพร้าว 12 การเยี่ยมชมศึกษาดูงานในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างศักยภาพด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ผ่านการเรียนรู้แนวทางและเครื่องมือในการวัดผลกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล รวมถึงการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลด้านเศรษฐกิจดิจิทัลตามกรอบ Digital Economy Satellite Accounts (DESA) ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เพื่อนำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาระบบการวัดผลเศรษฐกิจดิจิทัลของสหสาธารณรัฐแทนซาเนีย พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของประเทศไทย ในโอกาสนี้ นางสาวนภัสสร พิทักษ์กชกร ผู้จัดการโครงการและนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล ได้บรรยายเกี่ยวกับแพลตฟอร์มข้อมูลอัจฉริยะด้านการท่องเที่ยวแห่งชาติ TRAVEL LINK ซึ่งเชื่อมโยงข้อมูลจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน และให้บริการข้อมูลในรูปแบบแดชบอร์ดและอินโฟกราฟิก เพื่อสนับสนุนการเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกด้านการท่องเที่ยว อาทิ ข้อมูลจำนวนนักท่องเที่ยว การกระจายตัวของนักท่องเที่ยวจากด่านขาเข้า รวมถึงการวิเคราะห์การเคลื่อนที่จากสัญญาณโทรศัพท์ในพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งสามารถนำไปใช้ประกอบการวิเคราะห์เชิงนโยบาย การวางแผนกลยุทธ์ และการตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ โดยเปิดให้ใช้งานฟรีผ่านเว็บไซต์ www.travellink.go.th ขณะเดียวกัน ดร.พีรดล สามะศิริ ผู้จัดการโครงการและนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลอาวุโส และ นายชยสิน แซ่เตีย วิศวกรข้อมูลอาวุโส ได้ร่วมบรรยายเกี่ยวกับแพลตฟอร์มการเชื่อมโยงและวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ Data Integration and Intelligence Platform (D2) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มกลางสำหรับการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และพันธมิตร เพื่อสนับสนุนการกำหนดนโยบายเชิงมุ่งเป้า การบริหารจัดการ และการขับเคลื่อนนวัตกรรมด้วยข้อมูลและ AI โดยมีแผนพัฒนาเป็นลำดับ ตั้งแต่การออกแบบมาตรฐานและโครงสร้างพื้นฐานในปี 2568 การเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในปี 2569 และการขยายบริการด้าน AI ในปี 2570 นอกจากนี้ นายเบญจ์ รักตันติโชค ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและนวัตกรรม ได้นำเสนอแนวคิดการประยุกต์ใช้ AI-assisted process ในงานสนับสนุนด้านทรัพยากรบุคคลและการเงิน เพื่อช่วยลดงานซ้ำซ้อน ลดความผิดพลาดจากงานเอกสาร และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน โดย AI สามารถช่วยคัดกรองและจับคู่ผู้สมัครงานให้ตรงกับตำแหน่ง รวมถึงช่วยตรวจสอบเอกสารด้านการเงินได้อย่างรวดเร็วและรอบคอบมากยิ่งขึ้น การเยี่ยมชมศึกษาดูงานในครั้งนี้นับเป็นอีกก้าวสำคัญของการสร้างความร่วมมือและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้าน Big Data และ AI ระหว่างประเทศไทยและสหสาธารณรัฐแทนซาเนีย เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลและการพัฒนานโยบายบนฐานข้อมูลอย่างยั่งยืนในอนาคต
15 December 2025
เปิดเบื้องหลังแดชบอร์ด Rice Supply พยากรณ์ผลผลิตข้าวล่วงหน้า แก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำ
ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน จะเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยวข้าวนาปี ซึ่งจะมีผลผลิตข้าวปริมาณมากออกสู่ตลาดพร้อมกัน และอาจส่งผลต่อเสถียรภาพราคาข้าว นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือระหว่าง สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ กับ สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) โดย ดร.อิสระพงศ์ เอกสินชล ผู้จัดการโครงการและนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลอาวุโส BDI ได้รับมอบหมายภารกิจในการวิเคราะห์ว่า พื้นที่อำเภอไหน จังหวัดใดมีแนวโน้มที่ผลผลิตข้าวจะออกมาล้นตลาด เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถเตรียมมาตรการรองรับได้อย่างเหมาะสม การลงรายละเอียดในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้สามารถออกนโยบายช่วยเหลือชาวนาได้อย่างแม่นยำ จึงเป็นเป้าหมายสำคัญของภารกิจนี้ โดยภายใน 2 วันหลังจากได้รับโจทย์ ดร.อิสระพงศ์ ได้เขียนโปรแกรมประมวลผลข้อมูล และพัฒนาแดชบอร์ดแสดงผลคาดการณ์ผลผลิตข้าวจากภาพถ่ายดาวเทียมของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อแสดงสถานการณ์ผลผลิตข้าวรายพื้นที่ในแต่ละช่วงเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ปริมาณผลผลิตเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอในเชิงนโยบาย ทำอย่างไรถึงจะจำแนกชนิดพันธุ์ข้าวที่เพาะปลูก เช่น ข้าวหอมมะลิ ข้าวขาว และข้าวเหนียว ในแต่ละพื้นที่ได้ ? เพราะมีความสำคัญต่อการบริหารจัดการการตลาด ทีมงานจึงมีการบูรณาการข้อมูลการขึ้นทะเบียนปลูกข้าวของเกษตรกร จากกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มาวิเคราะห์ร่วมกันกับข้อมูลของ GISTDA ทำให้สามารถจำแนกชนิดพันธุ์ข้าวในแต่ละพื้นที่ในแต่ละช่วงเวลาได้อย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ กำลังการผลิตของโรงสีในพื้นที่ ซึ่งบ่งชี้ถึงความสามารถในการรองรับปริมาณผลผลิตข้าวในแต่ละพื้นที่ที่แตกต่างกัน ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการประเมินสถานการณ์ปริมาณข้าวล้นตลาดด้วยเช่นกัน จึงได้มีการนำข้อมูลนี้จากกรมการค้าภายใน มาวิเคราะห์เพื่อประเมินศักยภาพการรองรับผลผลิต และความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะผลผลิตล้นตลาด ในแต่ละพื้นที่ได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้ คือ “ระบบคาดการณ์ผลผลิตข้าวนาปีล่วงหน้า” ที่เกิดขึ้นจากการบูรณาการข้อมูลจากหลายหน่วยงานภาครัฐเข้าด้วยกัน ซึ่งสามารถส่งต่อให้สำนักงานพาณิชย์ในแต่ละจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ใช้เป็นข้อมูลประกอบการติดตามสถานการณ์ และพิจารณามาตรการด้านการตลาดข้าวได้อย่างตรงจุด เกิดประสิทธิผลเชิงนโยบาย สอดคล้องกับสถานการณ์จริงตามบริบทของแต่ละพื้นที่ โดยในระยะต่อไป มีแผนต่อยอดการพัฒนาระบบคาดการณ์ผลผลิตไปสู่พืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง และอ้อย เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการสินค้าเกษตรในภาพรวม เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร และรายได้ของพี่น้องเกษตรกรให้มีความมั่นคง เบื้องหลังแดชบอร์ด จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของเทคโนโลยี แต่คือความเชี่ยวชาญในการทำงานของบุคลากรเฉพาะด้าน ที่มาร่วมมือกันและนำข้อมูลจากหลายแหล่งมาประมวลผลอย่างเป็นระบบ เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบายบนฐานข้อมูลที่รอบด้าน “นี่คือ อีกหนึ่งภารกิจของ BDI ในการสนับสนุนการใช้ข้อมูลเพื่อการกำหนดนโยบาย ภายใต้แนวคิด Data-Driven Nation”
15 December 2025
BDI ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดพิธีบำเพ็ญกุศล ในวาระครบ 50 วัน เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง
12 ธันวาคม 2568, กรุงเทพมหานคร – กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) โดย สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด และสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดพิธีบำเพ็ญกุศลและแสดงความอาลัย ในวาระครบ 50 วัน (ปัญญาสมวาร) แห่งการสวรรคต เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยมี นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธาน และมี นายพชร อนันตศิลป์ ปลัดกระทรวง ศ. ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร BDI ตลอดจนข้าราชการ เจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงดีอี ร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียงบริเวณอาคารกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา (อาคารซี) ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่
12 December 2025
BDI เผยวิสัยทัศน์สถาบันข้อมูลและ AI ของประเทศ เดินหน้าหนุนภาครัฐและเอกชน ด้วยเทคโนโลยี มุ่งขับเคลื่อนนวัตกรรมเพื่ออนาคตไทย
11 ธันวาคม 2568, กรุงเทพฯ – สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI เผย ทิศทางการขับเคลื่อนประเทศด้วยข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ เดินหน้าแผนงานปี 2569 ผ่านแพลตฟอร์มเชื่อมโยงข้อมูลระดับชาติ (D2) และโครงการปัญญาประดิษฐ์ภาษาไทย ThaiLLM พร้อมยกระดับภาครัฐ-เอกชน ด้วยข้อมูลที่เชื่อมโยง รองรับการวิเคราะห์ที่แม่นยำ และตอบสนองสถานการณ์วิกฤตได้ทันท่วงที ตลอดจนผลักดันนวัตกรรม AI และการพัฒนาทักษะดิจิทัลให้ประชาชนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม สะท้อนบทบาทของ BDI ในฐานะองค์กรกลางที่เสริมพลังภาครัฐและขับเคลื่อนอนาคตประเทศไทยด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ศ. ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ กล่าวว่า ในฐานะหน่วยงานขับเคลื่อนการใช้ข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ของประเทศ BDI มีภารกิจสำคัญในการวางโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลระดับชาติ เพื่อสนับสนุนการทำงานของภาครัฐให้มีความทันสมัย เชื่อมโยง และตอบสนองความต้องการของประชาชนในยุคดิจิทัล การขับเคลื่อนดังกล่าว จึงมุ่งพัฒนาระบบกลางที่ช่วยให้ข้อมูลจากหลายหน่วยงานสามารถเชื่อมโยง แลกเปลี่ยน และนำไปใช้ประโยชน์ร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการวางแผนนโยบาย ยกระดับบริการสาธารณะและสร้างนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและ AI ภายใต้แนวคิดนี้ BDI ได้ออกแบบและพัฒนาแพลตฟอร์มการเชื่อมโยงและวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (ดีทู) หรือ Data Integration and Intelligence Platform (D2) ซึ่งเป็นพื้นที่กลางสำหรับการเชื่อมโยงและแบ่งปันข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และพันธมิตร โดยข้อมูลที่เชื่อมโยงสามารถนำไปใช้ประโยชน์จริง ทั้งในการพัฒนานโยบายแบบมุ่งเป้า การบริหารจัดการ และการขับเคลื่อนนวัตกรรมด้วยข้อมูลและ AI อันเป็นหัวใจของเศรษฐกิจดิจิทัลยุคใหม่ แพลตฟอร์มนี้ยังสนับสนุนให้เกิดการใช้ข้อมูลร่วมกันอย่างเป็นระบบมีมาตรฐาน พร้อมยกระดับความสามารถด้านการวิเคราะห์และการตัดสินใจของภาครัฐ โดยมีแผนดำเนินงานตามลำดับ ได้แก่ การออกแบบมาตรฐานการเชื่อมโยงข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานในปี 2568 การเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในปี 2569 และการต่อขยายบริการด้านปัญญาประดิษฐ์ในปี 2570 ส่วนด้านการเสริมขีดความสามารถของประเทศในการรับมือกับสถานการณ์วิกฤต BDI ชูแนวคิด “Digital Wall of Resilience” ในการพัฒนากรอบสถาปัตยกรรมข้อมูลและระบบบูรณาการข้อมูลระดับชาติ เพื่อสนับสนุนการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ การเตรียมพร้อมรับมือ และการบริหารจัดการภาวะวิกฤตภายใต้หลักธรรมาภิบาลข้อมูลที่เคร่งครัด ทั้งด้านความมั่นคงปลอดภัยและการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ถือเป็นการเร่งสร้างภูมิคุ้มกันให้ประเทศสามารถเผชิญภัยคุกคามข้ามพรมแดนในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นภัยความมั่นคง ภัยธรรมชาติ ภัยเศรษฐกิจ หรือสงครามการค้า โดยใช้องค์ความรู้ด้านข้อมูลเป็นฐานสำคัญในการคาดการณ์ ติดตาม และตอบสนองต่อสถานการณ์ได้อย่างแม่นยำและทันท่วงที ศ. ดร.ธีรณี กล่าวเพิ่มเติมถึงความก้าวหน้าของโครงการ ThaiLLM ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานปัญญาประดิษฐ์ภาษาไทยแบบ Open Source / Open License โดยล่าสุดได้เผยแพร่โมเดลพื้นฐานขนาด8B พารามิเตอร์ และโมเดลขนาด 30B พารามิเตอร์ ที่อัปโหลดเพิ่มเติมเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนโมเดลขนาดใหญ่ที่สุดจะเปิดให้สาธารณะเข้าถึงภายในเดือนมกราคม 2569 โมเดลเหล่านี้ได้รับการฝึกด้วยข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่ร่วมสนับสนุนการพัฒนา นับเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับระบบนิเวศ AI ภาษาไทย ให้สามารถนำไปต่อยอดใช้งานในหลากหลายสาขา ขณะนี้มีหลายทีมเริ่มทดลองใช้งาน และคาดว่าจะเห็นผลลัพธ์รูปธรรมในเร็ว ๆ นี้ โดยจุดเริ่มต้นแรกของพัฒนาที่สำคัญ คือ โมเดลเฉพาะทางด้านการแพทย์สำหรับงานคัดกรองอาการ (Medical Screening) ซึ่งจะเปิดตัวในช่วงต้นปี 2569 พัฒนาโดยทีม ThaiLLM ร่วมกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลและโรงพยาบาลภาครัฐ โมเดลดังกล่าวถูกออกแบบเพื่อประเมินคัดกรองเบื้องต้น ให้คำแนะนำการดูแลตนเอง และแนะนำการพบแพทย์อย่างเหมาะสม โดยยืนยันว่าไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อการวินิจฉัยโรค ทั้งนี้ Chatbot รุ่นต้นแบบที่ใช้โมเดลนี้คาดว่าจะเปิดให้ประชาชนทดลองใช้ระหว่างเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม 2569 ซึ่งจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงแหล่งคัดกรองด้วยข้อมูลสุขภาพที่เชื่อถือได้ และแบ่งเบาภาระบุคลากรทางการแพทย์ในขั้นต้น “นอกจากนี้ BDI ซึ่งอยู่ภายใต้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะองค์กรหลักในการพัฒนาศักยภาพกำลังคนด้าน Big Data และ AI ยังเตรียมมอบของขวัญปีใหม่ 2569 ผ่านหลักสูตรออนไลน์ด้านปัญญาประดิษฐ์ในรูปแบบวิดีโอการสอนจำนวน 3 หลักสูตร ช่วยให้ผู้เรียนสามารถนำ AI ไปเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน การเรียน และการสร้างเนื้อหา พร้อมต่อยอดเป็นทักษะใหม่เพื่อการประกอบอาชีพ หลักสูตรทั้งหมดจะเปิดให้เรียนฟรี ถือเป็นการยกระดับทักษะดิจิทัล เพื่อการพัฒนากำลังคนของประเทศ และขยายโอกาสการเรียนรู้อย่างทั่วถึงและยั่งยืน” ศ. ดร.ธีรณี กล่าวทิ้งท้าย
11 December 2025
BDI-สสช. เดินหน้าบูรณาการข้อมูลช่วยเหลือประชาชนวางระบบมาตรฐานการจัดการศูนย์พักพิงชั่วคราวทั่วประเทศ
9 – 10 ธันวาคม, บุรีรัมย์ – นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้มอบหมายให้สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) และสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI บูรณาการข้อมูลร่วมกับหน่วยงานรัฐและเอกชนในพื้นที่ เพื่อเร่งนำเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาระบบลงทะเบียนผู้พักพิง การจัดการสิ่งของ และการกระจายสิ่งของช่วยเหลือไปยังศูนย์พักพิงต่าง ๆ รวมถึงกระบวนการให้ความช่วยเหลือและเยียวยา แทนระบบแบบ Manual ที่ใช้ในปัจจุบัน จากการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์พักพิงชั่วคราว ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ เพื่อรับฟังสถานการณ์ล่าสุดและติดตามแนวทางการใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีสนับสนุนการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ภายหลังการลงพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ คณะผู้บริหารจาก BDI นำโดย ศ.ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันฯ พร้อมด้วย ดร.ปฐมพร ศิรประภาศิริ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านบูรณาการข้อมูล และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้ขยายการติดตามสถานการณ์ไปยังอีก 3 จังหวัด ได้แก่ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี โดยได้พบปะหารือร่วมกับหน่วยงานระดับอำเภอและจังหวัด โรงพยาบาล และศูนย์พักพิงต่าง ๆ ในพื้นที่ เพื่อรวบรวมข้อมูลการบริหารจัดการในแต่ละด้าน อาทิ การลงทะเบียนผู้อพยพในศูนย์พักพิง การเชื่อมโยงข้อมูลทางการแพทย์และสาธารณสุข การบริหารจัดการสิ่งของอุปโภคบริโภค รวมถึงการติดตามการกระจายความช่วยเหลือ จากข้อมูลที่ได้รวบรวมจากการลงพื้นที่ทั้ง 4 จังหวัด BDI จะนำมาพัฒนาเป็นระบบการจัดการสถานการณ์วิกฤตและแนวทางการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ โดยมุ่งเน้นการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การบริหารจัดการศูนย์พักพิงชั่วคราวอย่างเป็นระบบ และการใช้ข้อมูลสนับสนุนการวางแผนช่วยเหลือประชาชนในระยะกลางและระยะยาว การดำเนินงานดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของหน่วยงานภาครัฐ ลดความซ้ำซ้อนของกระบวนการ และยกระดับความถูกต้องและความรวดเร็วในการตัดสินใจ โดย BDI จะพัฒนาระบบดังกล่าวให้อยู่ในรูปของชุดข้อมูลมาตรฐาน กระบวนการทำงาน และแนวทางการใช้เทคโนโลยีที่ชัดเจน ก่อนนำเสนอข้อมูลต่อกระทรวงดิจิทัลฯ เพื่อผลักดันให้เกิดระบบที่มีมาตรฐานเดียวกันและสามารถนำไปใช้ได้ทั่วประเทศ
10 December 2025